อินเดีย ...อีกแล้ว12

 
kanchana.c
วันที่  16 พ.ย. 2552
หมายเลข  14274
อ่าน  2,978


พระบรมสารีริกธาตุ

มีสหายธรรมหลายท่านถามถึงความเป็นมาของพระบรมสารีริกธาตุ จึงขอนำข้อความ

ที่คนใกล้ชิดเคยค้นคว้าไว้มาเล่าให้ฟังย่อๆ ว่า

พระบรมสารีริกธาตุ คือ พระอัฐิธาตุ หรือกระดูกของพระพุทธเจ้า ส่วนอัฐิธาตุของพระ

อรหันต์ เรียกว่า พระธาตุ

ขนาดของพระบรมสารีริกธาตุ มี ๔ ขนาด คือ เท่าเมล็ดถั่วเต็ม หรือเมล็ดถั่วหักครึ่ง

เท่าเมล็ดข้าวสาร หรือเมล็ดข้าวสารหัก เท่าเมล็ดงา และเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาด ซึ่ง

เป็นไปตามที่พระผู้มีพระภาคทรงอธิษฐานไว้ว่า “เมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว พระธาตุ

จงทำลายเรี่ยไรออกเป็น ๔ ขนาด มหาชนจะได้อัญเชิญไปนมัสการ ก่อพระสถูป บรรจุ

ไว้ในนานาประเทศที่อยู่แห่งตนๆ จะได้ผลไปสู่สุคติภพ”

พระบรมสารีริกธาตุมีเนื้อละเอียด มีความมันวาวสดใส ขนาดใหญ่มีสีเหลืองคล้ายสี

ทอง ขนาดกลางมีสีดั่งแก้วผลึก ขนาดเล็กมีสีดั่งดอกพิกุล

ชนิดของพระบรมสารีริกธาตุ มี ๒ ชนิด คือ

ชนิดคงรูปเดิม คือ ไม่แตกหรือเปลี่ยนรูป มีอยู่ ๗ องค์ คือ พระเขี้ยวแก้ว (ฟันกราม)

๔ องค์ พระรากขวัญ (ไหปลาร้า) ๒ องค์ พระอุณหิศ (หน้าผาก) ๑ องค์

ชนิดไม่คงรูปเดิม คือ ส่วนที่แตกออกเป็นองค์เล็กๆ จำนวน ๑๖ ทะนาน แบ่งออกเป็น

ขนาดเท่าเมล็ดถั่วจำนวน ๕ ทะนาน ขนาดเท่าเมล็ดข้าวสาร ๕ ทะนาน ขนาดเท่า

เมล็ดงาหรือเมล็ดพันธุ์ผักกาด ๖ ทะนาน

เมื่อโทณพราหมณ์ได้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุให้กษัตริย์ ๘ พระนครแล้ว บรรดากษัตริย์

เหล่านั้นได้สร้างพระสถูปเพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุจำนวน ๘ แห่ง คือ

๑. พระเจ้าอชาติศัตรูสร้างสถูปที่เมืองราชคฤห์

๒. กษัตริย์ศากยวงศ์ได้สร้างที่เมืองกบิลพัสดุ์

๓. เจ้าลิจฉวีได้สร้างที่เมืองเวสาลี

๔. เจ้าถูลิยะได้สร้างที่เมืองอัลลกัปปะ

๕. เจ้าโกลิยะได้สร้างที่เมืองรามคาม

๖. มัลลกษัตรยิ์แห่งเมืองวาปาได้สร้างที่เมืองปาวา

๗. มหาพราหมณ์ได้สร้างที่เมืองเวฏฐทีปกะ

๘. มัลลกษัตริย์แห่งกุสินาราได้สร้างที่เมืองกุสินารา

ส่วนกษัตริย์โมริยะไม่ได้ส่วนพระบรมสารีริกธาตุ เพราะมาทีหลัง จึงขอส่วนแบ่งเป็น

พระอังคาร แล้วนำไปสร้างสถูปที่เมืองปิปผลิวัน เรียกว่า อังคารสถูป โทณพราหมณ์

ได้สร้างสถูปบรรจุทะนานที่ใช้ตวงพระบรมสารีริกธาตุ เรียกว่า ตุมพสถูป หรือตุมพเจดีย์

เป็นพระสถูปทั้งหมด ๑๐ สถูป

พระบรมสารีริกธาตุส่วนอื่นๆ ได้ประดิษฐานในที่ต่างๆ ตามที่กล่าวไว้ในปฐมสมโพธิ

กถาว่า พระเขี้ยวแก้วเบื้องบนฝ่ายขวากับพระรากขวัญเบื้องขวา ประดิษฐานในพระ

จุฬามณีเจดีย์ ณ ดาวดึงส์เทวโลก พระเขี้ยวแก้วเบื้องต่ำฝ่ายขวา ไปประดิษฐาน ณ

ลังกาทวีป เป็นต้น

หลังจากพุทธปรินิพพานแล้ว ๔ ปี พระมหากัสสปะได้ทราบด้วยญาณว่า ต่อไปในภาย

ภาคหน้า อันตรายจะพึงบังเกิดแก่พระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุไว้ในเมืองต่างๆ จึงได้ให้

คำแนะนำแก่พระเจ้าอชาตศัตรูให้ฝังพระบรมสารีริกธาตุในแผ่นดินให้พ้นจากอันตราย

เมื่อสร้างที่ประดิษฐานเสร็จแล้ว ท่านพระมหากัสสปะได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ

ด้วยอำนาจฤทธิ์จากพระสถูปที่สร้างไว้ใน ๗ พระนคร เว้นเมืองรามคามแห่งเดียว

ต่อมาภายหลังจากพระพุทธศาสนาล่วงไปได้ ๒๑๘ ปี พระเจ้าอโศกมหาราชได้ขุด

ค้นพบพระบรมสารีริกธาตุ จึงได้ทรงสร้างพระวิหารและพระสถูปถึง ๘๔,๐๐๐ องค์ ทุกๆ

พระนครทั่วชมพูทวีป เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ รวมทั้งพระสถูปเจดีย์ที่พุทธ

คยาด้วย

พระผู้มีพระภาคตรัสถึงการอันตรธาน ๕ ประการ คือ

๑. ปริยัติอันตรธาน คือ ความเสื่อมสูญแห่งพระปริยัติธรรม

๒. ปฏิปัตติอันตรธาน คือ ความเสื่อมสูญแห่งการปฏิบัติ

๓. ปฏิเวธอันตรธาน คือ ความเสื่อมสูญแห่งการตรัสรู้มรรคผล

๔. ลิงคอันตรธาน คือ ความเสื่อมสูญจากเพศสมณะ

๕. ธาตุอันตรธาน คือ ความเสื่อมสูญแห่งพระบรมสารีริกธาตุ

เมื่อไม่มีผู้เคารพสักการบูชา พระบรมสารีริกธาตุทั้งปวงก็เสด็จไปสู่ถิ่นที่มีผู้สักการ

บูชา เมื่อเวลาผ่านไป ที่ทั้งหลายทั้งปวงปราศจากผู้ที่สักการบูชา พระบรมสารีริกธาตุ

ทั้งหลายทั้งจากมนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก และนาคพิภพจะมารวมกันเข้า แล้ว

เสด็จไปสู่พระมหาเจดีย์ใหญ่ในลังกาทวีป ต่อจากนั้นก็จะเสด็จไปสู่ราชายตนเจดีย์

นาคพิภพ แล้วเสด็จไปสู่มหาโพธิบัลลังก์ ปรากฏเหมือนพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ยังทรงพระชนม์อยู่ ประกอบด้วยพระมหาปุริสสลักษณะ ๓๒ ประการ และอนุพยัญชนะ

๘๐ ประการ ซึ่งมนุษย์ทั้งหลายไม่สามารถมองเห็น มีแต่เทพยดาในหมื่นจักรวาลเท่า

นั้นที่มองเห็นได้ จากนั้นเตโชธาตุก็ตั้งขึ้นจากพระสรีรธาตุ เผาผลาญสังขารให้ย่อยยับ

เปลวไฟที่ตั้งขึ้นเผาพระบรมสารีริกธาตุนั้นพุ่งไปถึงพรหมโลก เป็นธาตุอันตรธาน หรือ

พระบรมสารีริกธาตุปรินิพพาน เป็นการสิ้นสุดศาสนาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระโคดมพระองค์นี้

นับว่าเป็นโชคดีที่เกิดมาในสมัยที่ยังมีพระศาสนาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

จึงได้เห็นพระบรมสารีริกธาตุ ได้เห็นต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่จะเป็นที่ประดิษฐานพระบรม

สารีริกธาตุเป็นครั้งสุดท้ายก่อนอันตรธาน ได้นมัสการอย่างใกล้ชิดด้วยการเทินไว้บน

ศีรษะ ได้ฟังพระธรรม ได้เห็นพระสงฆ์ และชาวพุทธที่มีจิตศรัทธาเดินทางมาจากที่

ต่างๆ เพื่อนมัสการสังเวชนียสถานร่วมกัน ไม่รู้ว่าชาติต่อไปจะมีโอกาสอย่างนี้หรือไม่

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ความเข้าใจธรรม จึงอธิษฐานว่า ผลจากการนมัสการอย่างสูง

สุดเช่นนี้ ขอให้มีส่วนในธรรมที่พระองค์ตรัสรู้แล้วด้วยเทอญ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prachern.s
วันที่ 17 พ.ย. 2552

ขอให้มีส่วนในธรรมที่พระองค์ตรัสรู้แล้วด้วยเทอญ

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
saifon.p
วันที่ 17 พ.ย. 2552

ขอให้มีส่วนในธรรมที่พระองค์ตรัสรู้แล้วด้วยเทอญ

ทุกถ้อยคำที่ร้อยเรียงมาให้อ่าน อ่านแล้วซาบซึ้งจริงๆ กราบอนุโมทนาอ.แดงและขอบพระคุณมากเหลือเกิน จะติดตามตอนต่อไปค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
sopidrumpai
วันที่ 17 พ.ย. 2552

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
choonj
วันที่ 17 พ.ย. 2552

นอกจากจะมีส่วนธรรมของพระองค์แล้ว ยังเป็นการช่วยพระธรรมไม่ให้อันตรธานด้วยเพราะเมื่อยังมีผู้ที่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมของพระองค์อยู่ พระธรรมก็อันตรธานไม่ได้ และถ้ายังได้เกิดในโลกมนุษย์ การเข้าใจพระธรรมที่ถูกต้องนั้นก็ต้องใช้เวลาอันยาวนานสำหรับเรา ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 17 พ.ย. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ups
วันที่ 17 พ.ย. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
panasda
วันที่ 18 พ.ย. 2552
ขออนุโมทนา ค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
สุภาพร
วันที่ 25 พ.ย. 2552

ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
orawan.c
วันที่ 29 พ.ย. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ที่พึ่งที่ระลึก
วันที่ 1 ธ.ค. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
hadezz
วันที่ 16 ธ.ค. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
กระจ่าง
วันที่ 15 ต.ค. 2553
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
guy
วันที่ 15 มี.ค. 2554

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ