อินเดีย ...อีกแล้ว11
ศิษย์ร่วมอาจารย์
เมื่อสนทนาธรรมจบแล้ว ก็กลับไปพักที่โรงแรม หลายท่านต้องเปลี่ยนชุดให้สวยงาม
เหมาะสมเพื่อเป็นผู้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุของพระผู้มีพระภาค และพระธาตุของ
พระอัครสาวกทั้งสองเพื่อให้พวกเราได้นมัสการ
เมื่อกลับมาที่สมาคมมหาโพธิ์ พุทธคยา พบว่ามีชาวศรีลังกาแต่งชุดขาวมานั่งอยู่เต็ม
ไปหมด พระภิกษุผู้ดูแลสมาคมฯ ท่านพระสีวลี กำลังชี้แจงให้ชาวศรีลังกาในที่นั้น
ทราบว่า มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ซึ่งมีท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวน
เขตต์ เป็นประธานนั้น ได้ทำคุณประโยชน์แก่สมาคมมหาโพธิ์เป็นอันมาก สิ่งหนึ่ง คือ
ได้สร้างผอบเจดีย์เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระผู้มีพระภาค และพระธาตุ
ของพระอัครสาวกทั้งสอง จึงเห็นว่ามีชาวศรีลังกาหลายท่านมาสาธุการกับท่านอาจารย์
(คงเหมือนอนุโมทนาแบบไทย)
ท่านพระสีวลีกล่าวต้อนรับท่านอาจารย์ว่า ท่านอาจารย์สุจินต์เป็นอาจารย์ของท่าน
เช่นกัน และบอกว่า พวกเราโชคดีมากที่เป็นศิษย์ของท่านอาจารย์ เพราะท่านเป็นผู้
แตกฉานในพระไตรปิฎก มีความสามารถในการถ่ายทอด และอุทิศตนเพื่อการเผยแพร่
พระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ท่านพูดยาวกว่านี้มาก เสียดายที่ภาษาอังกฤษไม่ค่อย
แข็งแรง เลยจำมาได้แค่นี้ ได้ทราบมาว่า ท่านได้สนทนาธรรมกับท่านอาจารย์หลาย
ครั้งที่ภูฐาน และได้ศึกษาธรรมจากการอ่านหนังสือ “ปรมัตถธรรมสังเขป” ที่ท่าน
อาจารย์เขียนด้วย
เมื่อถึงเวลาอัญเชิญออกมาให้นมัสการ ได้เห็นพระบรมสารีริกธาตุของพระผู้มีพระภาค
และพระธาตุของพระอัครสาวกทั้งสองอย่างใกล้ชิดยิ่งกว่าทุกครั้ง และท่านได้นำมา
เทินบนศีรษะของทุกคนอย่างทั่วถึง
กว่าพิธีนมัสการจะเสร็จ ท้องฟ้าก็มืดมิดแล้ว ดอกบัวที่เคยสวยงามที่เด็กอินเดียนำมา
ขาย และคนใกล้ชิดได้ซื้อมาแจกให้ทุกคนก็เหี่ยวเฉาหมดแล้ว เห็นสภาพธรรมที่ไม่
เที่ยงอย่างชัดเจน จนดูไม่น่าศรัทธาที่จะนำไปนมัสการ จึงต้องซื้อใหม่ แต่คราวนี้แจก
ได้ไม่กี่คน ยังดีที่คุณขาวนำดอกบัวประดิษฐ์สีเงินและสีทองมาให้ทุกคน ท่านอาจารย์
ได้นำจุดเทียนโคมประทีปอันสวยงามที่นำมาจากกรุงเทพฯ ท่านพระสีวลีและภิกษุศรี
ลังกาจำนวนหนึ่งนำหน้าขบวนพวกเราจากสมาคมฯ ไปยังพระสถูปพุทธคยา เพื่อ
เวียนเทียนประทักษิณ ท่านพระสีวลีสวดไตรสรณคมน์ด้วยสำเนียงบาลีที่ชัดเจน ฟัง
แล้วเกิดศรัทธาปสาทะเหลือเกิน พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง
สรณัง คัจฉามิ ทุติยัมปิ .... ตติยัมปิ...นึกคิดตามกำลังสติปัญญาของตนว่า ข้าพเจ้า
ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่ง ขอถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง แม้ครั้งที่
๒ ...แม้ครั้งที่ ๓ ... ด้วยการฟังและศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสไว้ดีแล้ว
พร้อมด้วยการเป็นผู้ว่าง่าย เชื่อตามคำสอนของพระองค์ว่า ทุกอย่างเป็นธรรม เกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน และพยายามพิจารณา สังเกต
สำเหนียกที่จะรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริง
และเชื่อว่า จะสามารถเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมได้ ถ้ารู้จักโลกในวินัยของพระอริย
เจ้า คือ โลก ๖ ทาง ได้แก่ โลกทางตา โลกทางหู โลกทางจมูก โลกทางลิ้น โลกทาง
กาย และโลกทางใจโดยไม่ปะปนกัน
ท่านพระสีวลีก็คงเกิดศรัทธามากเช่นกัน ท่านพาพวกเราเดินรอบพระเจดีย์ชั้นล่าง ๑
รอบ และขึ้นบันไดไปชั้นบนซึ่งเป็นรอบใหญ่อีก ๑ รอบ พร้อมกับสวดไตรสรณคมน์ไป
ตลอดทางด้วย ซึ่งใช้เวลานานมาก และในที่สุดก็สิ้นสุดการประทักษิณ พวกเราอุทิศ
ส่วนกุศล และขอขมาพระรัตนตรัยถ้าได้กระทำผิดพลาดล่วงเกินไป เพื่อการสำรวม
ระวังในกาลต่อไป และต่างคนแยกย้ายกันไปพักผ่อนที่โรงแรม เพื่อเตรียมตัวสำหรับ
การเดินทางไกลไปกรุงราชคฤห์ในวันรุ่งขึ้น
"...พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆังสรณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ .... ตติยัมปิ...นึกคิดตามกำลังสติปัญญาของตนว่า ข้าพเจ้า
ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่ง ขอถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง แม้ครั้งที่
๒ ...แม้ครั้งที่ ๓ ... ด้วยการฟังและศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสไว้ดีแล้ว
พร้อมด้วยการเป็นผู้ว่าง่าย เชื่อตามคำสอนของพระองค์ว่า ทุกอย่างเป็นธรรม เกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน..........พิจารณา สังเกต
สำเหนียก ที่จะรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริง..."