สิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฎขณะนี้

 
เมตตา
วันที่  9 ก.พ. 2552
หมายเลข  11206
อ่าน  1,271

เมื่อวันที่ ๕ ก.พ. 2552 ที่ผ่านมามีชาวต่างชาติซึ่งเป็นลูกศิษย์ท่านอาจารย์มาสนทนาธรรมที่มูลนิธิฯ เป็นจำนวนมาก

ข้าพเจ้าได้มีโอกาสมาฟังการสนทนาด้วย มีประโยคที่ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ กล่าวไว้ลึกซึ้งมาก ท่านกล่าวว่า "ท่านจะแสดงความพอใจรู้คุณค่าอย่างมาก หากมีใครก็ตามที่สอนให้รู้ให้เข้าใจความจริงที่กำลังปรากฎในขณะนี้ได้ ซึ่งเป็นโอกาสที่หาได้ยากมากที่จะมีใครมาสอนให้ มีความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่กำลังปรากฎถูกต้องตรงตามความเป็นจริง"


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 9 ก.พ. 2552
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ch_7698
วันที่ 9 ก.พ. 2552

ก็นับว่าเป็นโอกาสที่ดีที่ได้ฟังธรรมตรงตามความเป็นจริง ที่พิสูจน์ได้ในขณะนี้เอง

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Komsan
วันที่ 9 ก.พ. 2552
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
suwit02
วันที่ 9 ก.พ. 2552

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
คุณ
วันที่ 10 ก.พ. 2552
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ajarnkruo
วันที่ 10 ก.พ. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
oom
วันที่ 12 ก.พ. 2552

ดิฉันก็ไปฟังธรรมที่มูลนิธิทุกอาทิตย์ค่ะ ซาบซึ้งกับการบรรยายธรรมของ ท่านอจ.สุจินต์ เหมือนคุณเมตตาเช่นเดียวกัน

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
pornpaon
วันที่ 13 ก.พ. 2552
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
จำแนกไว้ดีจ๊ะ
วันที่ 13 ก.พ. 2552

" ท่านจะแสดงความพอใจรู้คุณค่าอย่างมาก หากมีใครก็ตามที่สอนให้รู้ให้เข้าใจความจริงที่กำลังปรากฎในขณะนี้ได้ ซึ่งเป็นโอกาสที่หาได้ยากมากที่จะมีใครมาสอนให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่กำลังปรากฎถูกต้องตรงตามความเป็นจริง "

บ้างทำอาการให้ช้าลงบ้างระลึกรู้สิ่งที่เกิดขึ้น บ้างพิจารณาตามสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว บ้างคอยจ้องสิ่งที่จะเกิดขึ้น

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
เมตตา
วันที่ 13 ก.พ. 2552

ความรู้ความเข้าใจความจริงที่กำลังปรากฎในขณะนี้ไม่พ้นไปจากสิ่งที่กำลังปรากฎ

ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางกาย และทางใจค่ะ เช่น เห็นขณะนี้ มีอะไรปรากฎมีความเข้าใจความจริงว่ามีแต่เพียงเห็น และสิ่งที่ถูกเห็นเท่านั้น ไม่ใช่ตัวตน สัตว์

บุคคลใดๆ ที่จะไปทำอาการต่างๆ หรือคอยจดจ้องสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้เพราะสภาพธรรม

ทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจของใครที่จะไปทำอะไรได้ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
จำแนกไว้ดีจ๊ะ
วันที่ 14 ก.พ. 2552

อันไหนเห็นอันไหนสิ่งที่ถูกเห็น

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
เมตตา
วันที่ 14 ก.พ. 2552

จักขุวิญญาณเกิดขึ้น คือ เห็น ค่ะ สิ่งที่ถูกเห็นก็คือ รูปารมณ์ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
จำแนกไว้ดีจ๊ะ
วันที่ 17 ก.พ. 2552

ก็นั้นซิครับ อันไหนละครับ ปนกัน ปนกัน ปนกันอยู่นะครับ คุณเมตตาครับ

สวัสดีครับ สบายดีนะครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
paderm
วันที่ 17 ก.พ. 2552

ไม่ปนกันเมื่อสติปัญญารู้ลักษณะของสภาพธรรมทีละอย่าง ปนกันเพราะสติและปัญญาไม่เกิดรู้ลักษณะของสภาพธรรมทีละอย่าง จึงเป็นเรื่องของสติและปัญญาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
จำแนกไว้ดีจ๊ะ
วันที่ 19 ก.พ. 2552

๑. รูปที่เห็น กับการเห็นรูป ทางปัญจทวารเหมือนกันไหม รูปก็อันนั้น การเห็นก็อันนั้น หรือว่า มีแต่ รูปเท่านั้น ส่วนการเห็นไม่ใช่รูปที่ปรากฎ แต่เป็นสภาพรู้รูปนั้นครับ?

๒. นามที่เป็นอารมณ์ของจิตทางมโนทวาร เป็นอย่างไร การรู้รูป เป็น เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรืออย่างไรครับ?


 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
paderm
วันที่ 20 ก.พ. 2552

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ขณะใดที่เห็นต้องมีสิ่งที่ถูกเห็น เห็นเป็นสภาพธรรมที่มีจริงเป็นจิต (จักขุวิญญาณ) สิ่งที่ถูกเห็นคือสิ่งที่ปรากฎทางตา (รูปารมณ์) เห็นก็อย่างหนึ่ง รูปก็อย่างหนึ่ง ประจักษ์ได้ด้วยปัญญา ขณะใดที่รู้ลักษณะของสภาพธรรม เช่น รู้ว่าจิตมีราคะเป็นสภาพธรรมไม่ใช่เรา ก็เป็น อารมณ์ของทางมโนทาวรได้ เป้นต้น ส่วนการรู้รูป สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธาน ในการรู้คือวิญญาณ (จิต) แต่เจตสิกอื่นๆ ทีเกิดร่วมด้วยก็ทำหน้าที่รู้เช่นกัน แต่ไม่ได้เป็น เป็นใหญ่ป็นประธานในการรู้ครับ

ขอแนะนำให้อ่านเพิ่มเติมเพื่อกลับไปสู่พื้นฐานที่ถูกต้อง

จุดประสงค์ในการศึกษาเรื่องจิต

บางครั้งเราก็ลืมจุดประสงค์ในการศึกษาธัมมะที่ถูกต้อง

เชิญคลิกฟังที่นี่ครับ

เข้าใจความจริงของจิตดีกว่าจำชื่อของจิต

ไม่ใช่เรื่องจำชื่อ แต่รู้สิ่งที่มี

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
Khun
วันที่ 20 ก.พ. 2552

ขอร่วมด้วยคนค่ะ

อันไหนเห็น ตอบ จิตเป็นสภาพรู้ รับรู้อารมณ์ ผ่านทางทวารทั้งหก ในที่นี้ จิตเห็น ผ่านทางจักษุทวาร (ไม่ได้ลงรายละเอียด ว่ามีจักษุวิญญาณ แล้วอีกหลายชื่อ จนถึง โว....) (คำว่า โว อยากจะเขียนว่า อ่าน โวท ทะ พะ นะ แต่สะกดไม่ถูกค่ะ)

อันไหนสิ่งที่ถูกเห็น ตอบ รูป เป็นสิ่งที่ถูกรู้ เมื่อรูปกับจักษุประสาท (วิญญาณ) มากระทบกัน (คือเมื่อรูปตามอง (ขอใช้คำว่ามองเพราะไม่รู้จะเขียนยังไงค่ะ) กับรูปอื่น จักษุประสาทเกิด ทำให้จิตเห็น เห็นรูป เห็นสี เห็นสิ่งต่างๆ ที่เป็นรูป สรุปคำตอบ จิต (นาม) เห็น รูปถูกเห็น เป็นคำตอบอันไหนเห็นกับอันไหนถูกเห็น นะคะ ไม่รวมว่าเมื่อเห็นแล้วอะไรเกิดจนตัดสินค่ะ

คำตอบนี้ ตอบด้วยความเข้าใจจากการศึกษาด้วยการฟังและอ่าน หากผิดยังไง รบกวนท่านผู้รู้อื่นช่วยอนุเคราะห์แก้ไขให้ด้วย เพื่อที่จะได้เข้าใจยิ่งขึ้นไปค่ะ หากถูก ต้อง ขอยกความดีให้กับ อ.สุจินต์ และขอให้ทุกท่านเป็นผู้เจริญในธรรม

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
happyindy
วันที่ 20 ก.พ. 2552

บ้างทำอาการให้ช้าลง บ้างระลึกรู้สิ่งที่เกิดขึ้น บ้างพิจารณาตามสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว บ้างคอยจ้องสิ่งที่จะเกิดขึ้น

แต่ถ้าภาพเนี้ย คงคิดว่า มองเห็น จับได้ ไล่ทัน ใช่มั้ยอ่ะคะ หรือว่า ปนกัน ปนกัน ปนกัน

เพราะอะไร เพราะ...บ้างทำอาการให้ช้าลง เพราะ...บ้างระลึกรู้สิ่งที่เกิดขึ้น เพราะ...บ้างพิจารณาตามสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว เพราะ...บ้างคอยจ้องสิ่งที่จะเกิดขึ้น รึเปล่านะ...???

หรือเพราะว่า ธรรมะทั้งหลายเกิดขึ้น เพราะ มีเหตุมีปัจจัย จึงทำให้ มีสี มีจักขุปสาท...กระทบสี มีจักขุวิญญาณจิตเกิดขึ้น...เห็นสี

อืมมม...แค่ต้องเรียกชื่ออินดี้ก็เวียนหัวแล้ว ความรู้เรายังด้อย ค่อยศึกษา ตอนนี้อินดี้ขอแค่พอรู้เรื่องบ้าง (จากการฟัง) ว่า สิ่งที่ถูกเห็น คือ รูปารมณ์ และขณะที่กระทบสี ขณะที่เห็น ขณะที่รู้ว่าเห็น (อะไร) เป็นคนละขณะกัน (หูย...เริ่มมึนและงง)

แต่ว่า ขณะทีละขณะแต่ละขณะ ยังรู้ไม่ได้ ไล่ไม่ทัน ปัญญายังไม่เกิด สติไม่ได้ระลึก เพราะว่าถูก เพื่อนหลอก...

ทันทีที่เห็น ถ้าไม่ชอบก็ชัง ...เรียบร้อยโรงเรียนอินดี้ (แพ้กิเลสอยู่เรื่อย...ทุกทีสิน่ะ)

ขออนุโมทนาทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
จำแนกไว้ดีจ๊ะ
วันที่ 22 ก.พ. 2552

มีศรัทธา รักษาศีล ห่างอาจารย์

แต่ละขณะ : เห็น กับ รูป นั้น ยังรู้ไม่ได้ ไล่ไม่ทัน สติระลึกไม่ได้ ปัญญาไม่เกิด

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
พุทธรักษา
วันที่ 22 ก.พ. 2552

เพราะปัญญาขั้นฟังไม่พอที่จะเกิดความเข้าใจ

จึงยังไม่เป็นปัจจัยแก่สติปัฏฐาน....สติจึงระลึกไม่ได้และ ปัญญาก็ไม่เกิดระลึกรู้สภาพธรรมที่ปรากฏ...ก็เป็นธรรมดาพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาของผู้รู้ ที่สอนให้ผู้ฟังมีความรู้ คือ มีปัญญาเป็นเรื่องที่เหตุต้องตรงกับผล...ไม่ใช่หวังผลถ้าเหตุยังไม่พอ...ผลจะเกิดได้อย่างไร.?เหตุสมควรแก่ผลเมื่อไร ปัญญาก็เกิดได้ตามลำดับ...โดยไม่ต้องหวังท่านอาจารย์ สอนอย่างนี้ค่ะ.

 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
จำแนกไว้ดีจ๊ะ
วันที่ 23 ก.พ. 2552

โปรดนิยามศัพท์เฉพาะคำว่า "สภาพธรรมที่ปรากฏ" ไว้ ณ ที่นี้เถิดท่านผู้เจริญ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 22  
 
เมตตา
วันที่ 24 ก.พ. 2552

สิ่งที่สำคัญที่สุดของการศึกษาพระธรรม ก็คือ การเข้าใจพระธรรม. เข้าใจในสิ่งที่กำลังฟัง เช่น ขณะนี้มีเห็น (จิตเห็น) เห็นเป็นนามธรรมไม่ใช่รูปธรรม ส่วนสิ่งที่ถูก เห็นเป็นรูปธรรม นามธรรมเป็นสภาพที่รู้อารมณ์ ส่วนรูปธรรมไม่สามารถรู้อารมณ์ได้ จิตเห็นเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครได้ ถ้าไม่มีจักขุ ปสาทซึ่งเป็นรูปธรรมเกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย เช่น คนตาบอดไม่มีจักขุปสาทรูป จิตเห็นก็เกิดไม่ได้ จิตเห็นเป็นวิบากจิต มีกรรมที่เคยกระทำไว้แล้วในอดีตเป็นปัจจัย จิตเห็นจึงเกิดขึ้นเห็น เป็นต้น

จากการศึกษาได้รู้ความจริงว่า จิตเห็นเกิดขึ้นเพราะ เหตุปัจจัย ไม่ใช่เราเห็น สิ่งที่ถูกเห็นก็คือสิ่งที่เพียงปรากฎทางตาเท่านั้น ไม่ใช่ สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่สิ่งของต่างๆ ท่านอาจารย์สอนว่าไม่ต้องมีตัวตนที่จะ ไปทำอะไรทั้งสิ้น ให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฎอยู่ในขณะนี้ว่าเป็นเพียงสภาพธรรม ไม่ใช่เรา สภาพธรรมที่เกิดขึ้น และดับไปอยู่ตลอดเวลาตรงหน้า เข้าใจแล้วหรือยัง? ไม่ใช่เพียงรู้เรื่องราวของธรรมะ รู้แต่ชื่อของธรรมะในพระ ไตรปิฎก แต่ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ สอนให้เข้าใจถึงตัวธรรมะ จริงๆ ที่กำลังปรากฎอยู่ในขณะนี้ ไม่ใช่เพียงชื่อ ปัญญาคือ ความเข้าใจถูกตั้ง แต่ขั้นการฟัง และเมื่อมีความเข้าใจถูกต้องตรงตามความเป็นจริงย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้สติปัฎฐานเกิด เป็นหน้าที่ของปัญญา ปัญญาก็ไม่ใช่เรา เหตุ-ย่อมสมควรแก่ผล เหตุก็คือปัญญาที่รู้ที่เข้าใจความจริง ผลก็คือสติปัฎฐานเกิด

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 23  
 
เมตตา
วันที่ 24 ก.พ. 2552

เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมได้ที่.....

จุดประสงค์ในการบรรยาย แนวทางเจริญวิปัสสนา

กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

 
  ความคิดเห็นที่ 24  
 
เมตตา
วันที่ 24 ก.พ. 2552

เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมได้ที่.....

ได้ยินแล้วคิด_7

 
  ความคิดเห็นที่ 25  
 
พุทธรักษา
วันที่ 24 ก.พ. 2552

สภาพธรรม หมายถึงอะไร ... ?

ธรรม หมายถึง สิ่งที่มีจริง ภาษาบาลี ใช้คำว่า "สจฺจธฺมํ" ขณะกำลังเห็น เป็นของจริง ฉะนั้น เห็น ก็เป็นสัจจธรรม ขณะนี้ มีธรรม แต่เพราะ อวิชชา จึงไม่สามารถที่จะรู้ได้. พระผู้มีพระภาค ทรงตรัสรู้ สภาพธรรม แต่ละชนิด ... ตามความเป็นจริง ของสภาพธรรม นั้นๆ ... ทรงตรัสรู้ว่า วันหนึ่งๆ มีแต่สภาพธรรม ที่เกิดขึ้น ... เพราะเหตุปัจจัย ... ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน. แต่เมื่อไม่เข้าใจสภาพธรรม ก็ยึดถือ สภาพธรรมต่างๆ ว่า เป็นเรา กำลังเห็น เป็นเรา กำลังได้ยิน ...ฯลฯ และยึดถือ ในรูปร่างกาย ทั้งหมด ว่า เป็นเรา เป็นของเรา.

ควรเข้าใจ...ก่อนไปปฏิบัติ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ