เป็นหรือไม่เป็นบารมี ?

 
สารธรรม
วันที่  26 พ.ย. 2551
หมายเลข  10520
อ่าน  1,846

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ข้อความบางตอนจาก แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ ๗๑๗ บรรยายโดย ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

มีพระภิกษุรูปหนึ่งท่านเคยอยู่ในประเทศอินโดนีเซีย ท่านก็ได้เล่าถึงเหตุการณ์ในขณะที่ท่านอยู่ที่นั่นว่า มีผู้หญิงอินโดนีเซียคนหนึ่ง ซึ่งสามีสิ้นชีวิตเพราะเด็กหนุ่มที่ขับรถด้วยความประมาท แต่เธอก็ไม่เอาความเพราะไม่อยากก่อทุกข์ให้แก่ผู้อื่น นอกจากนั้น ยังแสดงความประสงค์ที่จะให้ทุนการศึกษาแก่เด็กหนุ่มคนนั้นด้วย ยากหรือง่ายคะที่จะเป็นอย่างนี้? แต่เป็นแล้ว และเป็นได้สำหรับท่านที่สะสมอบรมความเมตตา ความกรุณาไว้ ดีไหมคะ เป็นกุศลอย่างนี้? แต่ว่ายากที่จะเกิดได้การกระทำของผู้หญิงอินโดนีเซีย

เป็นบารมีหรือไม่ใช่บารมี? ลองคิดดู เป็นบารมีแล้วหรือยัง หรือว่ายังไม่เป็นบารมี?


ในชีวิตประจำวันทุกท่านก็เห็นแต่ละท่าน บางท่านก็มีบารมีมาก ความดีมาก กระทำบุญมาก กระทำบุญน้อยต่างๆ แต่ว่าจะเป็นบารมีหรือไม่เป็นบารมี แล้วแต่แต่ละบุคคล ถ้าเป็นบุคคลที่เพียงทำดีโดยไม่รู้เรื่องของสภาพธรรม ไม่ได้เป็นผู้ที่ฟัง ไม่ได้เข้าใจธรรม ไม่ได้อบรมเจริญสติปัฏฐาน ก็ยังไม่ได้เป็นบารมี เพราะกุศลใดๆ ก็ตามที่จะเป็นบารมีนั้น ต้องเป็น "กุศลที่กระทำไปเพื่อการขัดเกลาอกุศลธรรม ให้ถึงการดับอกุศลธรรมนั้นเป็นสมุจเฉท" และสำหรับผู้ที่อบรมเจริญสติปัฏฐานแล้ว ถ้ายังไม่เห็นคุณของบารมีทั้ง ๑๐ นี้ ก็ย่อมไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท เพราะไม่มีกำลังพอที่จะต้านทานอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นเนืองๆ บ่อยๆ

เพราะฉะนั้น อกุศลธรรมก็ย่อมมีกำลังมาก เมื่ออกุศลธรรมมีกำลังมาก การที่จะละการยึดถือสภาพธรรมที่เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โรค ๒ อย่างนี้โรค ๒ อย่างเป็นไฉนคือ โรคกาย ๑ โรคใจ ๑ ปรากฏอยู่ว่าสัตว์ทั้งหลายผู้ยืนยันว่า ไม่มีโรคทางกายตลอดเวลา ๑ ปีก็มี ยืนยันว่าไม่มีโรคทางกายตลอดเวลา ๒ ปีก็มี ๓ ปีก็มี ๔ ปีก็มี ๕ ปีก็มี ๑๐ ปีก็มี ๒๐ ปีก็มี ๓๐ ปีก็มี๔๐ ปีก็มี ๕๐ ปีก็มี ๑๐๐ ปีก็มี ยิ่งกว่า ๑๐๐ ปีก็มี แต่ว่าผู้ที่จะยืนยันว่าไม่มีโรคทางใจแม้เพียงเวลาครู่เดียวนั้น หาได้ยากในโลกเว้นแต่พระขีณาสพ

(ข้อความบางตอนจาก)

๗. โรคสูตร ว่าด้วยโรค ๒ อย่าง

[เล่มที่ 35] อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้าที่ ๓๗๓


ถ้าท่านได้พิจารณาและสำรวจตนเองทราบว่า ยังไม่มีกำลังเรี่ยวแรงพอที่จะเดินทางไปสู่ทิศที่ปลอดภัยนั้นได้ทันที ยังไม่มีกำลังพอที่จะต่อสู้กับกิเลสในแต่ละวัน ซึ่งมักจะพ่ายแพ้อยู่เสมอ ก็ขอให้ท่านได้สะสมกำลังซึ่งก็คือ “บารมี ๑๐” อันเป็นธรรมเครื่องระงับยับยั้งกิเลส และเป็นธรรมที่เป็นกำลังทำให้ถึงซึ่งฝั่ง คือพระนิพพาน ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเหล่าพระอริยสาวกได้ทรงดำเนินมาแล้ว

(ข้อความบางตอนจาก หนังสือบารมีในชีวิตประจำวัน)

ขออุทิศส่วนกุศลแด่สรรพสัตว์


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
พุทธรักษา
วันที่ 26 พ.ย. 2551

แต่ว่าผู้ที่จะยืนยันว่าไม่มีโรคทางใจ แม้เพียงเวลาครู่เดียวนั้น หาได้ยากในโลก เว้นแต่พระขีณาสพ


ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Noparat
วันที่ 27 พ.ย. 2551

ขออนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 27 พ.ย. 2551

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เมตตา
วันที่ 27 พ.ย. 2551

กุศลใดที่จะเป็นบารมีนั้น ต้องเป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นผู้ที่ฟังและเข้าใจพระธรรม และเป็นผู้ที่อบรมเจริญสติปัฎฐานเพื่อขัดเกลากิเลส เพื่อการดับอกุศลกรรมเป็นสมุจเฉท กุศลนั้นจึงจะเป็นบารมี

กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wirat.k
วันที่ 27 พ.ย. 2551

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
suwit02
วันที่ 27 พ.ย. 2551

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wannee.s
วันที่ 27 พ.ย. 2551

การให้ทานเพื่อขัดเกลาความตระหนี่ เพื่อสละกิเลส เป็นบารมี แต่ถ้าให้เพื่อได้ไปเกิดบนสวรรค์ไม่ใช่บารมี หรือเมื่อรู้ว่าผลของทานมีจริง ให้แล้วเราจะได้รวยก็ไม่ใช่บารมีค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
pornpaon
วันที่ 30 พ.ย. 2551
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chatchai.k
วันที่ 29 ส.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ