เทวทูตสูตร ๒


    ท่านผู้ฟังเคยรู้สึกดีใจบ้างไหมเวลาที่สัตว์อื่นตาย นี่เป็นความวิจิตรของจิต เพราะฉะนั้น ผู้ที่ขัดเกลาจริงๆ นอกจากจะละเว้นทุจริต ยังไม่ยินดีที่จะให้ผู้อื่นกระทำทุจริต ไม่ชักชวนให้ผู้อื่นทำทุจริต และไม่สรรเสริญการกระทำทุจริตด้วย แต่บางท่านไม่ได้ลงมือทำทุจริตกรรมเอง แต่ว่าชักชวนคนอื่นให้ทำ หรือว่ายินดีเวลาที่บุคคลอื่นทำ หรือว่าเวลาบุคคลอื่นทำก็สรรเสริญพอใจในการกระทำทุจริตนั้น เพราะฉะนั้น เป็นความวิจิตรของจิตที่จะทำให้ปฏิสนธิเป็นบุคคลต่างๆ ในภพภูมิต่างๆ

    ยมราชา ได้แก่ เวมานิกเปรต ในกาลหนึ่งเสวยทิพยสมบัติ มีสวนทิพย์ มีนักฟ้อนทิพย์ในทิพยวิมาน แต่ในอีกกาลหนึ่งก็เป็นธรรมิกราชา ทำหน้าที่พิพากษาโทษโดยความเป็นธรรม ซึ่งก็เป็นวิบากของกรรม เป็นเวมานิกเปรต เป็นอีกภูมิหนึ่ง

    สำหรับเด็กแรกเกิด ส่องความหมายให้รู้ว่า จงทำความดีเถิด จึงชื่อว่าเทวทูต

    เวลาเห็นเด็กแรกเกิด ระลึกถึงตัวท่านเองซึ่งได้ผ่านสภาพนั้นมาแล้ว และจะต้องถึงสภาพนั้นอีก เพราะฉะนั้น เด็กแรกเกิดนั้นส่องความหมายให้รู้ว่า จงทำความดีเถิด จึงชื่อว่าเทวทูต

    คนแก่ ส่องความหมายให้รู้ว่า จงทำความดีเถิด จึงชื่อว่าเทวทูต

    คนเจ็บ ส่องความหมายให้รู้ว่า จงทำความดีเถิด จึงชื่อว่าเทวทูต

    คนถูกลงโทษ ส่องความหมายให้รู้ว่า จงทำความดีเถิด จึงชื่อว่าเทวทูต

    คนตาย ส่องความหมายให้รู้ว่า จงทำความดีเถิด จึงชื่อว่าเทวทูต

    ตายแล้ว ทำความดีได้ไหม ไม่ได้ รอก่อนได้ไหม ขอทำทานเสียก่อนแล้วจะตาย ไม่ได้ เพราะฉะนั้น เรื่องของความตายซึ่งจะมาถึงเมื่อไรก็ย่อมเป็นอนุสติที่จะเตือนให้เป็นผู้ที่ไม่ประมาทในการทำความดี

    ข้อความในอรรถกถามีว่า

    เทวทูตที่ ๑ คือ เด็กแรกเกิด เหมือนกับจะส่องความให้รู้ว่า

    ดูข้าพเจ้าเถิด ท่านผู้เจริญ แม้ข้าพเจ้าก็มีมือและเท้าเหมือนกับท่าน แต่ข้าพเจ้าก็นอนกลิ้งเกลือกอยู่ในมูตร กรีสของตนเอง (คือ ในอุจจาระ ปัสสาวะ) ไม่สามารถจะลุกขึ้นอาบน้ำได้ด้วยตนเอง มีเนื้อตัวแปดเปื้อน ไม่สามารถจะพูดได้ว่า ขอให้ท่านช่วยอาบน้ำให้ข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าเป็นเช่นนี้เพราะยังไม่พ้นจากชาติ แม้ท่านทั้งหลายก็ยังไม่พ้นจากชาติอย่างข้าพเจ้า ชาติมีอยู่แก่ข้าพเจ้า ฉันใด ก็ย่อมมีแก่ท่านทั้งหลาย ฉันนั้น เพราะฉะนั้น เมื่อยังต้องเกิดอีกต่อไป ท่านทั้งหลายจงทำความดีเถิด

    ถ้าพูดได้คงจะพูดอย่างนี้ เป็นเทวทูต

    เทวทูตที่ ๒ คือ คนแก่ ก็เหมือนกับจะส่องความให้รู้ว่า

    ดูเถิด ท่านผู้เจริญ แม้ข้าพเจ้าก็เคยเป็นหนุ่ม สมบูรณ์ด้วยกำลังแขนขาและความว่องไวเช่นเดียวกับท่าน ความสมบูรณ์ด้วยกำลังและความว่องไวเหล่านั้นของข้าพเจ้าอันตรธานไปแล้ว มือเท้าของข้าพเจ้าแม้มีอยู่ ก็ทำหน้าที่ของมือเท้าไม่ได้ ข้าพเจ้าเป็นเช่นนี้เพราะยังไม่พ้นจากชรา ข้าพเจ้าไม่พ้นจากชรา ฉันใด แม้ท่านทั้งหลายก็ยังไม่พ้นจากชรา ฉันนั้น เพราะชรานั้นยังมีมาอีกเบื้องหน้า ท่านทั้งหลายจงทำความดีไว้เถิด

    เคยคิดอย่างนี้ไหม คนหนุ่มสาวเวลาที่เห็นคนแก่จะได้รู้ว่า ควรจะระลึกได้อย่างไรบ้าง

    เทวทูตที่ ๓ คือ สัตว์ที่เจ็บไข้ ย่อมจะบอกให้รู้เนื้อความอย่างนี้ว่า

    ดูเถิด ท่านผู้เจริญ ถึงข้าพเจ้าก็เคยเป็นผู้ไม่มีโรคเหมือนกับท่านทั้งหลาย บัดนี้ข้าพเจ้าถูกพยาธิครอบงำ นอนกลิ้งเกลือกอยู่ในมูตรและกรีสของตน ไม่สามารถจะลุกขึ้นได้ มือเท้าของข้าพเจ้าถึงมีอยู่ก็ทำหน้าที่ของมือเท้าไม่ได้ ข้าพเจ้าเป็นเช่นนี้ เพราะยังไม่พ้นจากพยาธิ แม้ท่านทั้งหลายก็ยังไม่พ้นจากพยาธิ จักต้องประสบพยาธิเหมือนข้าพเจ้า เพราะยังต้องประสบพยาธิเบื้องหน้า ท่านทั้งหลายจงทำความดีไว้เถิด

    เทวทูตที่ ๔ บอกเนื้อความว่า

    กรรมกรณ์ย่อมมีแก่ผู้ที่เกิดเป็นสัตว์ บุคคลนั้น ไม่ใช่ต้นไม้ ก้อนหิน

    หมายความถึงการลงโทษทั้งหมด ย่อมลงโทษแก่สัตว์ผู้มีความเกิดขึ้น เป็นสัตว์ เป็นบุคคล มีใครคิดจะลงโทษต้นไม้ ภูเขาอะไรบ้างไหม เสียเวลาเปล่า ถ้าจะลงโทษ ก็ลงโทษผู้ที่เกิดเป็นสัตว์ เป็นบุคคลนั่นเอง ไม่ใช่ลงโทษต้นไม้ ก้อนหิน เพราะฉะนั้น จึงต้องรับผลของกรรม และได้รับกรรมกรณ์ คือ การลงโทษ เพราะฉะนั้น ก็จงทำความดีไว้เถิด

    เทวทูตที่ ๕ คือ สัตว์ที่ตายแล้วย่อมบอกข้อความนี้ว่า

    ท่านผู้เจริญ จงพิจารณาดูข้าพเจ้าที่ถูกเขาทอดทิ้ง ถึงภาวะเป็นร่างกายที่เน่า พอง เป็นต้น อยู่ในป่าช้า ข้าพเจ้าเป็นเช่นนี้เพราะยังไม่พ้นจากมรณะ แม้ท่านทั้งหลายก็ยังไม่พ้นจากมรณะ จะต้องประสบมรณะอย่างข้าพเจ้า เพราะยังต้องประสบมรณะในเบื้องหน้า ท่านทั้งหลายจงทำความดีไว้เถิด

    ปัญหาที่ว่า ใครจะได้การสอบสวน ใครจะไม่ได้การสอบสวน ก็คือ ถ้าผู้ใดทำบาปไว้มาก ผู้นั้นก็เกิดในนรก ได้รับความทุกข์ทรมานตามควรแก่เหตุนั้นๆ เลยทีเดียว ส่วนผู้ใดที่ทำบาปไว้น้อย ก็ย่อมได้เทวทูตานุโยคะ คือ การสอบถามถึงเทวทูตทั้ง ๕เพื่อให้ระลึกได้ถึงบุญกุศลที่ได้กระทำไว้

    จะเป็นไปได้ไหม

    ท่านผู้ฟังควรจะพิจารณาด้วยว่า เป็นไปได้ หรือว่าไม่น่าจะเป็นไปได้อย่างนั้น ในมนุษย์โลกก็มีพระราชา มีกี่ท่านที่ได้สนทนาปราศรัยหรือสอบถามกับพระราชาเหล่านั้น ไม่ใช่ว่าทุกคนจะต้องได้รับการพบ การสอบถามถึงเทวทูตทั้ง ๕ จากยมราชเสมอ นั่นต้องแล้วแต่บุคคลใดทำบาปไว้มาก บุคคลใดทำบาปไว้น้อย และการที่ทุกๆ ขณะที่จะเกิดขึ้นนั้น ย่อมแล้วแต่เหตุปัจจัยทั้งสิ้น ถ้ามีปัจจัยที่จะให้ได้รับการสอบถามถึงเรื่องเทวทูต ก็ได้รับการสอบถามเรื่องเทวทูต แต่ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะให้ได้รับการสอบถามเรื่องเทวทูต ก็ไม่ได้รับการสอบถาม ก็ตรงไปสู่นรกที่ได้รับการทุกข์ทรมานทันที

    สำหรับผู้ที่กระทำบาปไว้น้อย ย่อมระลึกได้โดยธรรมดาของตนบ้าง เพราะกรรมนั้นให้ระลึกได้บ้าง และไปโดยธรรมดาของตน หมายความว่า เวลาที่จุติจากมนุษย์โลกแล้ว มีบาปที่ทำไว้น้อย เมื่อเป็นผลของอกุศลกรรม ทำให้อเหตุกอกุศลวิบากจิตปฏิสนธิในอบายภูมิ แต่ยังได้รับการสอบถาม

    การที่ผู้นั้นระลึกได้ บางครั้งอาจจะระลึกได้ด้วยตนเองโดยที่ไม่มีผู้ใดสอบถามก็ได้ นั่นเป็นผลของกรรมที่ได้กระทำไว้

    บางคนตลอดชีวิตทำบุญไว้น้อยมาก ถ้าจะพิจารณาดูชีวิต ทุกวันๆ นี้ก็หลงไปในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ เต็มไปด้วยความปรารถนา เต็มไปด้วยความหวัง เพราะฉะนั้น โอกาสที่จะกระทำกุศลก็น้อยเหลือเกิน เกือบจะว่าไม่มี มีแต่ริษยา มีแต่ตระหนี่ มีแต่อกุศลประการต่างๆ โลภะ โทสะ โมหะ เพราะฉะนั้น บุคคลอย่างนั้น เวลาที่จุติจากมนุษย์ แล้วแต่ว่าได้กระทำอกุศลกรรมไว้มากหรือว่าน้อย ถ้ากระทำอกุศลกรรมมากและเป็นอกุศลกรรมที่ครบองค์ ก็ให้ผลปฏิสนธิในอบายภูมิ ถ้าเป็นในนรก ก็ได้รับการทรมานทันที

    บางคนสะสมกิเลสไว้มาก แต่อกุศลกรรมก็ไม่ได้มีมากมาย เกิดมาเป็นผู้ที่ไม่ได้กระทำการฆ่า การเบียดเบียน การถือเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือว่าการทุจริตด้วยวาจาส่อเสียด หรือวาจาเท็จ เหล่านี้อาจจะไม่มี แต่ว่าบุญกุศลก็ไม่ได้กระทำมาก เพราะฉะนั้น บุคคลเหล่านี้เมื่อจุติจากโลกนี้แล้ว ด้วยผลของกรรมก็อาจจะทำให้ได้พบกับยมราชา และได้รับการสอบถามเรื่องเทวทูต แต่จะระลึกได้ หรือระลึกไม่ได้ เป็นเรื่องของบุคคลนั้น ไม่ได้ทำกุศลกรรมอะไร ลองคิดดู ถ้ามีคนถามว่า วันนี้ทำกุศลกรรมอะไรบ้าง นึกออกไหมสำหรับคนที่ไม่ได้ทำ

    บางท่านไม่ได้ไหว้พระ ไม่ได้สวดมนต์ ไม่ได้ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ไม่ได้มีความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขากับเพื่อนร่วมโลกเลย มีแต่โลภะ โทสะ โมหะ เพราะฉะนั้น ถ้าถามเดี๋ยวนี้ วันนี้ นึกออกไหม นึกเท่าไรก็คงจะนึกยากว่าวันนี้ทำกุศลอะไรบ้าง แต่ท่านที่เจริญกุศลบ่อยๆ วันนี้ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม เจริญสติปัฏฐาน หรือว่าทำบุญกุศลให้ทาน ท่านเหล่านั้นก็ระลึกได้ ถ้ามีคนอื่นถามเตือนให้ระลึก ก็ระลึกได้ แต่บางทีบุคคลนั้นเอง แม้ไม่ได้พบยมราชาก็สามารถที่จะระลึกถึงกุศลกรรมของตนเองได้ ตัวอย่างในอรรถกถามีว่า

    ทมิฬผู้มีฟันยาวระลึกได้ด้วยตนเองว่า ใช้ผ้าสีแดงบูชาเจดีย์ เมื่อตายไปเกิดในนรก ได้ยินเสียงเปลวไฟ ก็ระลึกได้ถึงการบูชา ก็จุติจากนรกแล้วก็ปฏิสนธิในสวรรค์

    นั่นระลึกได้ด้วยการกระทำ คือ กรรมของตนเอง

    อีกผู้หนึ่ง ถวายผ้าแก่พระลูกชาย เวลาที่จะตายก็ได้นิมิตในเสียงของผ้า บังเกิดในนรก เมื่อได้ยินเสียงเปลวไฟ ก็ระลึกถึงเสียงผ้าได้ จึงเกิดในสวรรค์ คือ จุติจากนรกแล้วก็เกิดในสวรรค์

    เป็นเรื่องของเหตุ ของปัจจัย ของกรรม แล้วแต่ว่าจะเป็นกรรมหนัก กรรมเบา สะสมมามากน้อยอย่างไร กรรมใดให้ผล และยังมีกรรมอื่นที่ตนระลึกได้ที่ได้กระทำแล้ว เวลาที่ระลึกถึงทำให้จุติจากนรกแล้วก็เกิดในสวรรค์ได้ เป็นสัตว์ในนรก แต่ว่ายังไม่ได้รับการทรมานทันทีตามสมควรแก่เหตุคืออกุศลกรรม ซึ่งถ้าเป็นผู้ที่กระทำอกุศลกรรมไว้น้อย ก็อาจจะมีโอกาสระลึกได้เองโดยรวดเร็ว หรือว่าได้พบยมราชา

    แต่ถ้าเป็นผู้ที่กระทำอกุศลกรรมที่ทำให้ได้รับโทษทันที ก็ไม่มีโอกาสได้พบยมราชาเลย เหมือนกับผู้ที่เกิดในมนุษย์ เกิดในสุคติภูมิ แต่ยังมีขณะที่ได้รับผลของอกุศลกรรม ทั้งๆ ที่อยู่ในกามสุคติภูมิแต่ยังได้รับอกุศลวิบาก หรือว่าอาจจะได้รับตั้งแต่ตอนที่เกิดอยู่ในครรภ์ก็ได้

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่ปฏิสนธิในนรกก็แล้วแต่กรรม จะทำให้ได้รับทุกข์ทรมานทันทีหรือว่ายังไม่ได้รับ แต่ขณะนั้นต้องปฏิสนธิแล้วด้วยอกุศลวิบากจิต ซึ่งในภูมิมนุษย์นี้เองก็ยังมีสัตว์เดรัจฉานซึ่งปฏิสนธิด้วยอกุศลวิบาก และมีปิตติวิสัย คือ เปรต แต่ว่าปฏิสนธิด้วยจิตที่ต่างกันกับมนุษย์ ในนรกมีพระยายมราชซึ่งเป็นเวมานิกเปรต โดยภูมิแล้วเป็นภูมิของเปรต แต่ว่าอยู่ในนรกได้

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่ปฏิสนธิด้วยอเหตุกอกุศลวิบาก แต่ว่าไม่ใช่กรรมที่ทำให้ได้รับผล คือ การทุกข์ทรมานทันที ก็มีโอกาสที่จะได้พบกับยมราชา เหมือนกับผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์ไม่ควรมีโอกาสที่จะได้รับอกุศลวิบากเลย แต่ยังมีการได้รับอกุศลวิบาก ฉันใด ผู้ที่เกิดในนรกไม่ควรที่จะมีโอกาสได้รับกุศลวิบากเลย แต่ก็ยังไม่ได้ถูกลงโทษในทันทีได้

    ภพอื่น ภูมิอื่นนั้น มี แต่ว่าเวลาที่ไปถึงจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง นั่นเป็นสิ่งที่ผู้ที่อยู่ในภูมิอื่นไม่ทราบ เช่น ในนรกจะมีอะไรที่นั่นบ้าง ผู้ที่อยู่ในโลกมนุษย์ขณะนี้ก็ทราบไม่ได้ เหมือนอย่างในภูมินี้ ตอนที่จะเกิด มีใครทราบบ้างไหมว่าโลกนี้จะมีอะไรบ้าง จะมีประเทศต่างๆ บางประเทศมีพระเจ้าแผ่นดิน บางประเทศไม่มีพระเจ้าแผ่นดิน หรือว่าเวลาที่อยู่ในภูมิมนุษย์นี้ บางครั้งก็ได้รับสุขเวทนาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ บางครั้งก็ได้รับทุกขเวทนาแม้ว่าเกิดในภูมินี้ก็ตาม

    เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นภูมิอื่น ก็ยากที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะรู้ได้ แต่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงไว้ในพระสูตรอย่างไร ผู้ที่ได้ศึกษา ได้ฟัง ก็ควรที่จะได้พิจารณาว่า ถ้าเหตุที่จะให้เกิดในภูมิอื่นมี โลกอื่นภูมิอื่นก็มีได้ ส่วนสภาพความเป็นไปต่างๆ ในโลกอื่นภูมิอื่นจะเป็นอย่างไรนั้น ต้องเป็นไปตามเหตุตามผลของภูมินั้นๆ ถ้าเปรียบเทียบกับโลกนี้ จะเห็นได้ว่า สิ่งที่ท่านคิดว่าจะมีไม่ได้ ก็น่าจะมีได้ตามควรแก่กรรมที่ได้กระทำไว้

    เทวทูตสูตร ข้อ ๕๑๔ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เหล่านายนิรยบาลจะโยนสัตว์นั้นเข้าไปในมหานรก ก็มหานรกนั้นแล มี ๔ มุม ๔ ประตู แบ่งไว้โดยส่วนเท่ากัน มีกำแพงเหล็กล้อมรอบ ครอบไว้ด้วยแผ่นเหล็ก พื้นของนรกใหญ่นั้น ล้วนแล้วด้วยเหล็ก ลุกโพลงแผ่ไปตลอด ร้อยโยชน์รอบด้านประดิษฐานอยู่ทุกเมื่อ

    จะมีได้ไหม ในโลกมนุษย์ก็อาจจะมีได้ ทำไมที่อื่นซึ่งเป็นผลของอกุศลกรรมจะมีไม่ได้

    ข้อความต่อไปมีว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย และมหานรกนั้นมีเปลวไฟพลุ่งจากฝาด้านหน้าจดฝาด้านหลัง พลุ่งจากฝาด้านหลังจดฝาด้านหน้า พลุ่งจากฝาด้านเหนือจดฝาด้านใต้ พลุ่งจากฝาด้านใต้จดฝาด้านเหนือ พลุ่งขึ้นจากข้างล่างจดข้างบน พลุ่งจากข้างบนจดข้างล่าง สัตว์นั้นจะเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ในมหานรกนั้น และยังไม่ตาย ตราบเท่าบาปกรรมยังไม่สิ้นสุด

    มีใครเคยถูกไฟบ้างไหม นิดๆ หน่อยๆ ก็ได้ หรือเคยมีคนที่อยู่ในห้องที่มีไฟลุกและออกมาจากห้องนั้นไม่ได้จนกระทั่งสิ้นชีวิตบ้างไหม ในโลกนี้ก็มี แต่นั่นชั่วระยะเวลาที่สั้น เพราะเหตุว่าจะต้องสิ้นชีวิตลง จุติจากความเป็นมนุษย์ แต่ถ้าไปเกิดในนรกซึ่งเป็นผลของอกุศลกรรม ถึงแม้ว่าจะถูกไฟไหม้อย่างนั้นเป็นเวลานานมากสักเท่าไรก็ตาม ก็ย่อมไม่พ้นจากสภาพนั้นตราบเท่าที่บาปกรรมยังไม่สิ้นสุด เป็นเรื่องของการปฏิสนธิ เป็นเรื่องของการเกิดอีกภูมิหนึ่ง ซึ่งจะได้รับความทุกข์ทรมานนานมากเท่าไร ก็แล้วแต่ผลของกรรม

    ข้อความต่อไปมีว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีสมัยที่ในบางครั้งบางคราว โดยล่วงระยะกาลนาน ประตูด้านหน้าของมหานรกเปิด สัตว์นั้นจะรีบวิ่งไปยังประตูนั้นโดยเร็ว ย่อมถูกไฟไหม้ผิว ไหม้หนัง ไหม้เนื้อ ไหม้เอ็น แม้กระดูกทั้งหลายก็เป็นควันตลบ แต่อวัยวะที่สัตว์นั้นยกขึ้นแล้ว จะกลับคงรูปเดิมทันที และในขณะที่สัตว์นั้นใกล้จะถึงประตู ประตูนั้น จะปิด สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ในมหานรกนั้น และยังไม่ตาย ตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด

    บางท่านถูกไฟไหม้ลวกพองก็ไม่สิ้นชีวิต แต่ถ้าเกิดในภูมินรกนั้น ถึงจะเจ็บแสบยิ่งกว่านั้นสักเท่าไร อวัยวะที่สัตว์นั้นยกขึ้นแล้ว จะกลับคงรูปเดิมทันที เพื่อที่จะได้รับทุกข์ทรมานต่อไปอีก

    ข้อความต่อไปมีว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีสมัยที่ในบางครั้งบางคราว โดยล่วงระยะกาลนาน ประตูด้านหลังของมหานรกนั้นเปิด ฯลฯ ประตูด้านเหนือเปิด ฯลฯ ประตูด้านใต้เปิด สัตว์นั้นจะรีบวิ่งไปยังประตูนั้นโดยเร็ว ย่อมถูกไฟไหม้ผิว ไหม้หนัง ไหม้เนื้อ ไหม้เอ็น แม้กระดูกทั้งหลายก็เป็นควันตลบ แต่อวัยวะที่สัตว์นั้นยกขึ้นแล้ว จะกลับคงรูปเดิมทันที แล้วในขณะที่สัตว์นั้นใกล้จะถึงประตู ประตูนั้นจะปิด สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ในมหานรกนั้น และยังไม่ตาย ตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด

    ขณะที่ทุกท่านกำลังสุขสบายอยู่ในโลกนี้ ขอให้ระลึกถึงโลกอื่น จะมีสัตว์ที่อยู่ในนรก และอยู่ในสภาพอย่างนี้ จำนวนเท่าไร ตามควรแก่กรรมที่ได้กระทำไว้

    ข้อความต่อไปมีว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีสมัยที่ในบางครั้งบางคราว โดยล่วงระยะกาลนาน ประตูด้านหน้าของมหานรกนั้นเปิด สัตว์นั้นจะรีบวิ่งไปยังประตูนั้นโดยเร็ว ย่อมถูกไฟไหม้ผิว ไหม้หนัง ไหม้เนื้อ ไหม้เอ็น แม้กระดูกทั้งหลายก็เป็นควันตลบ แต่อวัยวะที่สัตว์นั้นยกขึ้นแล้ว จะกลับคงรูปเดิมทันที สัตว์นั้นจะออกทางประตูนั้นได้ แต่ว่ามหานรกนั้นแล มีนรกเต็มด้วยคูถใหญ่ ประกอบอยู่รอบด้าน สัตว์นั้นจะตกลงในนรกคูถนั้น และในนรกคูถนั้นแล มีหมู่สัตว์ปากดังเข็มคอยเฉือดเฉือนผิว เฉือดเฉือนหนัง แล้วเฉือดเฉือนเนื้อ แล้วเฉือดเฉือนเอ็น

    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 244

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 245



    หมายเลข 71
    19 ต.ค. 2566

    ซีดีแนะนำ