การศึกษาธรรมของชาวพุทธ ๔


    ผู้ฟัง เคยได้ฟังมาว่า บอกว่าการศึกษาเพื่อความค่อยๆ เข้าใจ คือศึกษาสภาพธรรมตัวเราเองที่จะสามารถเข้าใจได้ ตรงนี้หมายความว่าเป็นสภาพธรรมที่ปรากฏหรือว่าค่อยๆ เข้าใจในลักษณะของการศึกษาระดับปริยัติครับ

    ท่านอาจารย์ ต้องทราบว่าศึกษาคืออะไร ถ้าใช้คำว่า เรากำลังศึกษาธรรมะได้ว่าที่มานั่งอยู่ตรงนี้ ฟังธรรมะศึกษาธรรม ก็คือศึกษาให้เข้าใจธรรมตัวจริงซึ่งมี เราไม่ได้ศึกษาสิ่งที่เลื่อนลอยเลย แต่ศึกษาสิ่งที่มีอยู่ทุกวันตั้งแต่เกิดจนตาย ให้รู้ความจริงว่าสภาพนั้นไม่ใช่เรา ต้องเข้าใจอย่างนี้ก่อน ว่าการศึกษาธรรม ไม่ใช่ศึกษาตามหนังสือตามตัวเลข ซึ่งตัวจริงอยู่ที่ไหนไม่รู้ ถ้าคนไม่รู้ว่าธรรมตัวจริงอยู่ที่ไหนแล้ว ก็ศึกษาธรรมเป็นชื่อ เป็นคำ เขาก็ไม่รู้ว่าเขากำลังศึกษาอะไร แต่ถ้าเรามีความเข้าใจว่าธรรมคือเดี๋ยวนี้

    พระธรรมที่ทรงแสดง ก็ทรงแสดงเรื่องความจริงของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ซึ่งพิสูจน์ได้ แต่เมื่อธรรมนั้นเกิดปรากฏ ไม่ใช่เป็นเพียงการคิดเอา ขณะนี้มีจิต ศึกษาเรื่องจิตศึกษาว่าจิตเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เป็นอาการรู้ เป็นลักษณะรู้ ขณะนี้เห็น เป็นจิตหรือเปล่า

    แค่นี้ถ้าฟังใหม่ๆ ก็อาจจะงง เพราะว่าเราทุกคน ก็ทราบว่ามีจิต แต่ไม่เคยรู้จักจิตที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดง ว่าจิตที่ทุกคนเข้าใจรางๆ ว่ามี มีลักษณะอย่างไร เป็นสภาพที่ต่างกับเจตสิกอย่างไร

    เพราะฉะนั้น เวลาที่ศึกษาธรรม ก็ศึกษาตั้งแต่ขั้นต้น ที่มีคำซึ่งแสดงให้เห็นว่าหมายถึงธรรมประเภทไหน มีลักษณะอย่างไร แต่ต้องเป็นตัวจริงของธรรม เช่น ในขณะนี้ที่กำลังเห็น เป็นจิตหรือเปล่า เราเรียนเรื่องจิต และขณะนี้กำลังเห็น เป็นจิตหรือเปล่า ตอบว่าจิตตามตำรา แต่ว่าตัวจริงที่กำลังเห็นนี้จะเป็นจิตยังไง ไม่ทราบ แต่ต้องตรงกัน คือเมื่อศึกษาว่าจิตเป็นสภาพที่เป็นใหญ่ เป็นสภาพที่สามารถที่จะรู้แจ้งลักษณะของอารมณ์ คือสิ่งที่จิตกำลังรู้ชัดเจน เพราะเหตุว่าขณะนี้ อะไรกำลังปรากฏ จิตรู้แจ้งในลักษณะนั้น เพียงรู้ ถ้าเป็นจิตที่เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ก็เพียงเห็น ขณะนี้ที่กำลังเห็น ใบไม้เห็นไม่ได้ คนตายก็เห็นไม่ได้ แต่ขณะที่เห็น มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นกับจิตที่เห็น ไม่ใช่จิตที่ได้ยิน ไม่ใช่จิตที่คิดนึก

    การฟังธรรมต้องค่อยๆ ฟัง แล้วก็จะรู้ว่า เป็นสิ่งที่ยากที่จะต้องประจักษ์ ซึ่งการศึกษาว่ายากแล้ว แต่การที่จะอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมตรงตามที่ได้ศึกษา ยิ่งยากกว่านั้น เพราะเห็นว่าต้องพิจารณา ต้องเข้าใจ

    การศึกษาเรื่องจิตตามตำรามาแล้ว และขณะนี้จิตกำลังมีให้เราศึกษา ทางตาที่กำลังเห็น ขณะนี้เอง นี่คือการศึกษาอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ศึกษาเพียงชื่อ แต่ศึกษาลักษณะจริงๆ ของจิตที่กำลังเห็น ศึกษาลักษณะของจิตที่กำลังได้ยินในขณะนี้ เพราะถ้าจิตไม่เกิดขึ้นได้ยิน เสียงก็ปรากฏไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นชีวิตประจำวันจริงๆ ที่เราเรียนทั้งหมด เราจะค่อยๆ เข้าใจสภาพธรรมที่มี เมื่อมีการระลึกที่จะเข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ขณะนั้นต้องเป็นสติแล้ว ตั้งแต่เกิดจนตายไม่ว่าเราจะคิดดี คิดร้ายอย่างไร ก็คือสภาพธรรม ไม่ใช่เป็นเรา ซึ่งพออกุศลเกิด ก็พยายามคิดดี เป็นเราที่จะเปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แม้ขณะที่คิดที่ทำอย่างนั้น ก็คือจิตเจตสิก

    ไม่มีสักขณะเดียวเลย ซึ่งสภาพธรรมจะเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุปัจจัย แต่ว่าปัญญาจะต้องรู้ทั่วจริงๆ จึงจะละได้ เพราะเหตุว่ามีสภาพธรรมปรากฏ เมื่อไม่รู้จะละความไม่รู้ และความสงสัยในสิ่งที่กำลังปรากฏได้อย่างไร ซึ่งผู้ที่เป็นพระอริยะบุคคล ดับความสงสัยในสภาพธรรม ที่มีจริงๆ ที่กำลังเกิดดับ จนกระทั่งสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ถึงจะเป็นพระอริยเจ้าได้ ไม่ใช่ยังมีความสงสัยอยู่ ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏแล้ว ก็จะไปละอะไร ในเมื่อวันๆ หนึ่ง ก็มีสิ่งที่ปรากฏคือเห็นทางตาได้ยินทางหู ได้กลิ่นทางจมูก ลิ้มรสทางลิ้น รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย คิดนึก ก็มีอยู่เท่านี้ทุกวัน ทุกชาติ ไม่เกินกว่านี้เลย จะให้รู้อะไรนอกจากนี้

    การตรัสรูของพระองค์ไม่ใช่ตรัสรู้อย่างอื่น แต่ตรัสรู้ธรรม ที่มีที่ปรากฏให้รู้ และก็ทรงแสดงหนทางที่จะอบรมเจริญปัญญาว่า ถ้าเป็นปัญญาก็ต้องรู้สิ่งที่กำลังปรากฏนี้ ไม่ใช่ไม่รู้สิ่งนี้ และพยายามไปรู้สิ่งอื่น จะไม่มีการประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมที่มีปัจจัยเกิดขึ้น เป็นปกติ ตามความเป็นจริง ถ้าเป็นอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ คุณซีศึกษาธรรมไหมค่ะ

    ผู้ฟัง ศึกษาครับ

    ท่านอาจารย์ ศึกษาแบบไหนค่ะ

    ผู้ฟัง ก็คงทั้งแบบที่ไม่เข้าใจ แล้วก็มีเข้าใจบ้าง

    ท่านอาจารย์ ศึกษาลักษณะของสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏในขณะนี้หรือเปล่าค่ะ

    ผู้ฟัง ก็มีการสังเกตครับ

    ท่านอาจารย์ ขณะที่ค่อยๆ เข้าใจ หมายความว่าค่อยๆ รู้ลักษณะซึ่งเป็นสภาพรู้ ซึ่งกำลังเห็น หรือเข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตา ซึ่งเคยยึดถือ ว่าเป็นคนนั้นคนนี้ อยู่ที่นั่นที่นี่ สารพัดที่จะคิด เวลาที่มีสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่การที่จะละความติดในนิมิตอนุพยัญชนะ ก็เพราะสามารถที่จะเข้าใจถูกตั้งแต่ขั้นเริ่มว่า ขณะใดที่สติปัฐานเกิด ขณะนั้นเริ่มที่จะคลายความติดในนิมิตอนุพยัญชนะ เพราะกำลังเข้าใจว่าขณะนี้เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ เท่านั้น หลังจากนั้นก็เป็นคิด ซึ่งสืบต่อเร็วมาก แต่ละทางแต่ละทาง

    นี่คือการศึกษาธรรม ถ้าศึกษาธรรมอย่างนี้ เวลาที่โทสะเกิดขึ้น คุณซีต้องคิดไหมว่า ปฏิฆะสัมปยุตติ อสังขาริก หรือสสังขาริก แต่รู้ลักษณะของสภาพนั้น ว่าเป็นธรรม

    เพราะฉะนั้น การศึกษาของเรา ปริยัติขั้นต้นอย่างไร เวลาประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรม ก็ต้องตามลำดับขั้นต้นอย่างนั้น คือต้องมีความเข้าใจว่าเป็นธรรมชนิดหนึ่ง มีลักษณะอย่างนั้นที่กำลังปรากฏ ให้เข้าใจลักษณะนี้ ไม่ใช่ลักษณะของเมตตาไม่ใช่ลักษณะของโลภะ ไม่ใช่ลักษณะของริษยา ไม่ใช่ลักษณะของกรุณา มุทิตา ก็เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ ซึ่งมีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน แต่ว่าเราศึกษาชื่อ แต่ต่อไปเวลาที่สภาพธรรมนั้นเกิดแล้ว เราเข้าใจความเป็นธรรม ก็จะค่อยๆ คลายความเป็นเรา เพราะเหตุรู้ว่าลักษณะนั้น ก็เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ต้องบอกไหม ว่า ชื่อเป็นรูปธรรม หรือนามธรรม ไม่ต้องบอก ไม่ต้อง เพราะลักษณะเป็นนามธรรมอยู่แล้ว หรือลักษณะที่เป็นรูปก็เป็นรูปธรรมอยู่แล้ว แต่เข้าใจให้ถูกต้องว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เรา ก็ไม่ต้องพูด ถ้าเข้าใจว่าเป็นธรรม

    เมื่อเป็นธรรมแล้วก็เป็นธรรม จะเป็นเราได้ยังไง แต่ไม่ได้ห้าม คือว่าคนที่ฟังเผินๆ ก็เหมือนกับว่า จะห้ามไปเสียทุกอย่าง พอพูดถึงอกุศลก็ไม่ให้เกิด เป็นไปได้อย่างไร ตามความเป็นจริง ทุกอย่างเกิดเมื่อกี้นี้ ใครจะมีกุศลจิตประเภทใดเกิดขึ้น ก็เป็นเรื่องของเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้นก็เป็นธรรมดา เป็นปกติ จะเปลี่ยนการสะสมของคุณนีน่าไม่ให้คิดไม่สบายใจได้ไหม ในเมื่อความไม่สบายใจเกิดแล้ว ผ่านไปแล้วด้วย

    ข้อสำคัญคือไม่ใช่คุณนีน่าเลย เมื่อไหร่จะรู้ว่าไม่ใช่เลย เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เกิดแล้วก็ดับ ทุกขณะ ต้องเข้าถึงความเป็นธรรม สิ่งใดที่มีเกิดขึ้น ปรากฏ แล้วก็หมดไปค่อยๆ เข้าใจขึ้น นี่คือการศึกษาธรรม เมื่อมีปัจจัยพอที่จะระลึกในขณะนั้น



    หมายเลข 46
    12 ก.พ. 2567

    ซีดีแนะนำ