ธรรมเป็นประโยชน์กับชีวิตของเราอย่างไร


    ท่านอาจารย์ เมื่อกี้ได้ถามคนที่มาก่อนว่า เป็นมาอย่างไร บางคนก็บอกว่า เปิดวิทยุฟัง และได้ยินบางคำที่คิดว่ามีประโยชน์ อย่างคำว่า “ธรรม” ได้ยินบ่อยๆ และคิดว่าคงเป็นสิ่งที่นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน หรือว่ามีประโยชน์ในชีวิตประจำวัน รู้สึกอย่างนี้หรือเปล่าคะ

    ผู้ฟัง รู้สึกว่า ถ้าสามารถจำธรรมมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ เราสามารถพัฒนาในทางที่ดีได้ ไม่หลงผิด ไม่เข้าใจผิด

    ท่านอาจารย์ ทีนี้ที่บอกว่า ธรรมจะมีประโยชน์กับชีวิตอย่างมาก เป็นเพียงความคิดของเราหรือเปล่าคะ

    ผู้ฟัง ใช่ค่ะ ทีนี้ยังไม่รู้ว่า หัวข้อธรรมไหน เมื่อแจกแจงแล้วใช้สำหรับงานไหน ตรงนั้นยังมองไม่เห็น

    ท่านอาจารย์ อันนี้ถูกต้อง คือเราทุกคนจะมีความคิด แต่ความคิดอย่างเดียวยังไม่พอ เราต้องมีเหตุผลด้วย อย่างเราบอกว่า ธรรมน่าจะมีประโยชน์ แต่เรายังไม่รู้เลยว่า ธรรมคืออะไร เพราะฉะนั้น ถ้าเรารู้ว่า ธรรมคืออะไร เราจะเห็นประโยชน์มากขึ้น

    เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจแต่ละคำที่เราได้ยินให้ชัดเจน แล้วเป็นคนมีเหตุผลด้วย ถ้าไม่มีเหตุผล การศึกษาธรรมจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เพราะเหตุว่าทราบไหมว่า ใครเป็นผู้แสดงธรรม

    ผู้ฟัง เข้าใจว่า เป็นสิ่งที่มีโดยธรรมชาติอยู่แล้ว แต่พระพุทธเจ้าเป็นผู้นำธรรมชาตินั้นมาแยก และสั่งสอน

    ท่านอาจารย์ หมายความว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้แสดง แต่ถ้าเขาบอกว่า ศาสดาอื่นแสดงธรรม จะถูกหรือจะผิด

    ผู้ฟัง ถูกค่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไรจึงว่าถูก

    ผู้ฟัง เพราะธรรมเป็นของกลาง เป็นของธรรมชาติ ทุกคนมีสิทธิดึงธรรมชาติตรงนั้นมาใช้ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น บางคนอาจจะบอกว่า คนนั้นแสดงธรรม คนนี้แสดงธรรม หรือศาสนาโน้นแสดงธรรม ศาสนานี้แสดงธรรม แต่ธรรมจริงๆ หมายความถึงสิ่งที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่แสดงให้เราเข้าใจสภาพที่มีจริงๆ ได้ละเอียด ได้ลึกซึ้ง คนนั้นจึงได้ชื่อว่า แสดงธรรม แต่ถ้าเอามาเพียงบางส่วนไม่ครบถ้วน คนนั้นก็มีความรู้ความเข้าใจเพียงบางส่วน แต่สำหรับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พวกเราทุกคนที่อยู่ในประเทศไทยต้องเคยได้ยินว่า เป็นผู้ที่เลิศกว่าบุคคลอื่นทั้งหมด เพียงแต่ว่า เรายังไม่ทราบว่า เลิศอย่างไร และเลิศแค่ไหน แต่ตอนเป็นเด็ก เราก็ถูกพ่อแม่สอนแล้วให้กราบไหว้ แม้แต่เพียงเด็กเล็กๆ ก่อนจะนอนให้ไหว้พระเสีย สลิตาเคยไหว้ไหมคะ

    นี่แสดงให้เห็นว่าให้เห็นว่า ต้องมีคนหนึ่งซึ่งสูงที่สุด ฉลาดที่สุด เพราะเหตุว่าถึงแม้ว่า สมัยนี้จะไม่มี แล้วผ่านไปแล้วถึง ๒,๕๐๐ กว่าปี แต่พระธรรมที่ทรงแสดง และมีคนเลื่อมใสนับถือยังมีมากมาย และสืบต่อไปเรื่อยๆ

    เพราะฉะนั้น ก็ต้องเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากจริงๆ ที่ไม่สูญไป ทีนี้ถ้าเราอยู่ในเมืองไทย ได้ยินคำว่า พระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยที่เราไม่รู้เลยว่า คืออะไร ก็เหมือนคนที่เหมือนรู้แต่ไม่รู้ ซึ่งเราจะยอมเป็นคนอย่างนั้นไหมคะ คือเป็นคนที่เหมือนรู้แต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้น เราควรจะรู้จริงๆ มากกว่าจะเหมือนรู้ แต่พอคนอื่นถามเราก็ไม่รู้อะไรเลย

    เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า ธรรมเป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งไม่มีใครเทียบได้เลย เวลานี้เราอาจยังไม่รู้ว่า ทำไมถึงกล่าวว่า ไม่มีใครเสมอเหมือน เพราะว่าเรายังไม่ได้ศึกษา แต่เราลองคิดดู พระพุทธเจ้ากับคุณพ่อ คุณแม่ ใครฉลาดกว่ากัน ต้องมีเหตุผลด้วย

    ผู้ฟัง พระพุทธเจ้าฉลาดกว่า

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร ต้องเหตุผลทุกอย่าง คนที่ศึกษาธรรมต้องมีเหตุผล ถ้าไม่มีเหตุผลจะไม่เข้าใจธรรมได้เลย

    ผู้ฟัง เพราะพระพุทธเจ้าตรัสรู้ พ่อแม่ไม่ได้ตรัสรู้

    ท่านอาจารย์ และอะไรอีกคะ ลองคิดค่ะ ธรรมยิ่งคิดยิ่งเข้าใจ

    ผู้ฟัง คิดว่า คุณพ่อคุณแม่หนูฉลาดกว่า เพราะเลือกให้เราเกิดมา พระพุทธเจ้าไม่ได้เลือกให้เราเกิดมา

    ท่านอาจารย์ คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้เลือกค่ะ

    ผู้ฟัง แต่ก็เลี้ยงดู และสอนเราให้เชื่อท่านได้ อย่างบางเรื่องเราก็ยังไม่เชื่อพระพุทธเจ้า เพราะเรายังไม่ได้ศึกษา แต่อย่างคุณแม่ไม่จำเป็นต้องศึกษา แต่เราเชื่อท่าน

    ท่านอาจารย์ แต่ความเป็นจริงถึงแม้คุณแม่ก็ยังนับถือพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น เราต้องค่อยๆ ไต่ไปตามเหตุผล ความคิดของเราจะถูกจะผิดอย่างไร เราแสดงได้ แต่ในขณะเดียวกันเราก็ต้องคิดให้กว้างไกลออกไป

    พระมหากษัตริย์กับคุณพ่อคุณแม่ใครฉลาดกว่ากัน แต่จริงๆ แล้วแม้พระมหากษัตริย์ก็ยังต้องนับถือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่ากี่พระองค์ตั้งแต่อดีตมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน

    เพราะฉะนั้น แสดงว่าต้องมีบุคคลหนึ่งซึ่งเลิศจริงๆ แล้วเรามีโอกาสได้ฟังพระธรรม ที่จะเห็นความไม่มีใครเปรียบได้เลยกับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ขอถามว่า ธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้จะยากหรือจะง่าย ลองคิดดู ต้องใช้ความคิด ต้องพิจารณาแล้วเป็นความเข้าใจของเราเอง ไม่ใช่ไปตามใคร แต่เราคิดพิจารณาของเราเอง แล้วมีเหตุผลด้วย

    เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงตรัสรู้ ยากหรือง่าย

    ผู้ฟัง ยากที่จะปฏิบัติ แต่ถ้าเกิดปฏิบัติได้แล้ว ก็เป็นสิ่งที่ดีในการดำเนินชีวิต เข้าใจความเป็นไปของโลก

    ท่านอาจารย์ ปฏิบัติคืออะไร มีคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว จะปฏิบัติอย่างไร คือพูดได้ทุกอย่างตามความคิด แต่ต้องมีเหตุผล ถ้าจะปฏิบัติก็ต้องรู้ว่า จะปฏิบัติอย่างไร ต้องตั้งต้นฟังแล้วเรียน ใช่ไหมคะไม่อย่างนั้นจะไม่มีทางนึกออกเลยว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไร พ่อแม่สอนเราก็ยังนึกออกว่า สอนให้เป็นคนดี ให้มีความประพฤติดีต่างๆ ครูที่โรงเรียนก็สอนหลายๆ อย่าง แต่ไม่มีใครสอนเหมือนพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    พูดอย่างนี้ ถูกหรือผิด ต้องคิด มีใครว่าผิดไหมคะ

    เพราะฉะนั้น ต้องนับว่าเป็นบุญ บุญหมายถึงสิ่งที่ดีงามที่เราสร้างไว้ สะสมมาแล้ว ที่เรามีโอกาสจะได้ยินได้ฟังธรรมซึ่งยากแสนยากกว่าจะมีผู้รู้สักพระองค์หนึ่ง ซึ่งใน ๒,๕๐๐ กว่าปียังไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกเลยสักพระองค์เดียว ต้องอีกนานแสนนานมากกว่าจะมีการตรัสรู้อีก เพราะฉะนั้น เราก็มีโอกาสพิเศษที่ได้ยินได้ฟังสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้

    ถ้าให้ถามตอนนี้ มีใครจะถามอะไรหรือเปล่าคะ หรือไม่อะไรถาม อยากฟัง

    ผู้ฟัง วันนี้ป้าแอ๊วอยากให้เด็กๆ เปิดโอกาสให้ตัวเอง ไม่ต้องอาย แล้วอย่าเกร็ง คิดว่าเป็นการสนทนากันจริงๆ วันนี้เป็นการเริ่มต้นทำความเข้าใจว่า ธรรมคืออะไร และพระพุทธเจ้าทรงแสดงอะไร เพราะฉะนั้น ท่านอาจารย์ถามอะไร ตอบได้เลย อย่าอาย

    ท่านอาจารย์ มีใครจะถามอะไรก่อนไหมคะ หรือไม่อยากถาม

    วันนี้ถ้ายังไม่มีใครถาม เริ่มต้นก็ได้

    ธรรมหมายความถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง แค่นี้งงไหมคะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง เราจะไม่พูดเรื่องเท็จ แต่เราจะพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งแต่ละคนก็จะเห็นได้ว่า ทุกคนที่นั่งที่นี่ จริงหรือเปล่า

    ผู้ฟัง คิดว่าไม่จริง

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร

    ผู้ฟัง คิดดูแล้ว อะไรที่ว่าจริง เนื้อหนังมังสาก็เปลี่ยนไป ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่มีอะไรเหมือนเดิม ถ้าจริงวันนี้ แล้ววันต่อไป สิ่งนั้นก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว

    ท่านอาจารย์ คงต้องตั้งต้นกันหลายๆ แบบ หลายๆ ครั้ง หลายๆ ทาง เอาใหม่ทีเดียว อะไรสำคัญที่สุดในชีวิต น่าคิดไหมคะ

    ผู้ฟัง ความสุข

    ท่านอาจารย์ ความสุขมีตลอดวันหรือเปล่าคะ

    ผู้ฟัง บางทีมีสุขบ้าง ทุกข์บ้าง อย่างไรที่เรียกว่าความสุขแท้ๆ สุขแบบถาวร

    ท่านอาจารย์ เวลานี้มีใครมีสุขแบบถาวรบ้างไหมคะ ไม่มีเลย ความสุขมีจริง แต่ความสุขก็หมดไป แล้วเวลาที่ไม่สุข ขณะนั้นเป็นอะไร

    ผู้ฟัง เวลาที่ไม่สุข เป็นทุกข์ค่ะ

    ท่านอาจารย์ แล้วเวลาที่ไม่สุข ไม่ทุกข์ เป็นอะไร มีไหมคะ มีค่ะ คือเรื่องจริงต้องเป็นเรื่องจริง เราค่อยๆ ไปหาความจริงทีละเล็กทีละน้อยกว่าเราจะรู้ว่า มันคืออะไร

    นี่คือพยายามให้ทุกคนหัดคิด แล้วก็ตอบด้วยตัวเอง ชีวิตที่เราพูดกันทุกวันเป็นธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้นก็อยากจะทราบว่า เวลาที่ไม่สุข ไม่ทุกข์นี่ต้องมีแน่นอน ใช่ไหมคะ มีหรือไม่มี มีนะคะ ขณะนั้นเป็นอะไร

    ผู้ฟัง เป็นเฉยๆ

    ท่านอาจารย์ เป็นเฉยๆ ก็มีจริงๆ เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงๆ เรากำลังจะเข้าไปหาความจริงอย่างหนึ่งซึ่งไม่มีการสอนที่ไหนเลย ในโรงเรียนไหนมีสอนเรื่องนี้บ้างไหมคะ

    ผู้ฟัง สอนแต่หัวข้อเฉยๆ

    ท่านอาจารย์ แล้วก็สอนเรื่องสุข เรื่องทุกข์ไหมคะ

    ผู้ฟัง ไม่ได้สอน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จะเห็นว่าพระธรรมละเอียดมาก ทรงแสดง ๔๕ พรรษา ตั้งแต่ตรัสรู้จนกระทั่งใกล้จะปรินิพพาน แล้วสืบทอดมาเป็นพระไตรปิฎก เป็นอรรถกถามากมาย แต่เราเรียนตลอดชีวิตไม่จบ อย่าคิดว่าเพียงฟังวันนี้แล้วเราจะเข้าใจได้ แต่เราเริ่มที่จะคิดแล้วว่า สิ่งที่สำคัญในชีวิตอย่างที่ตอบเมื่อกี้นี้ว่า คือความสุข แต่ความสุขไม่ได้ตั้งอยู่นานเลย บังคับให้สุขได้ไหมคะ

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ บังคับให้ทุกข์ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ บังคับให้เฉยๆ ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้ามีเหตุที่จะให้ความสุขเกิด ความรู้สึกเป็นสุขก็ต้องเกิด ถ้าป่วยไข้ที่กาย แล้วจะบอกว่าไม่ให้เจ็บ ก็ไม่ได้ ไม่มีอะไรได้สักอย่าง

    ผู้ฟัง ไปบนบานศาลกล่าวก็ไม่ได้หรือคะ ไม่ได้ใช่ไหมคะ ผิด

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ผิดหรืออะไร แต่หมายความว่า สิ่งใดที่เกิดแล้วเราจะเปลี่ยนสิ่งนั้นให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม อย่างที่กายเกิดเจ็บปวด แล้วเราจะบอกว่า อย่าเจ็บ ให้เป็นสุขได้ไหม ไม่ได้ เพราะฉะนั้น เราจะมาถึงคำหนึ่งซึ่งครอบจักรวาล คือ คำว่า “อนัตตา” หมายความว่า สิ่งที่มีจริงทั้งหมดในโลก ในแสนจักรวาล นอกโลกที่ไหนก็ตามแต่ เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร นี่คือการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คือตรัสรู้ว่า สิ่งที่มีจริงอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นตามความเป็นจริง ไม่ใช่พอพระองค์ตรัสรู้แล้วก็จะไปเปลี่ยนแปลงคนโง่ให้เป็นคนฉลาด หรือความเจ็บให้กลายเป็นความสุข อย่างนี้ไม่ใช่นะคะ แต่แสดงให้เห็นตามความเป็นจริงว่า ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นต้องมีเหตุ มีปัจจัย มีหลายๆ อย่างที่ปรุงแต่งรวมกันทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น แล้วสิ่งใดๆ ก็ตามที่เกิดแล้ว ไม่มีสิ่งใดซึ่งยั่งยืน ทุกอย่างที่เกิดจะหมดไปอย่างเร็วมาก ซึ่งเราจะใช้อีกคำหนึ่งก็ได้คือ คำว่า “เกิด” เมื่อไม่มีแล้วเกิดมีขึ้น แล้วมีขึ้นแล้วก็หมดไป เวลาที่หมดไปที่จะไม่กลับมาอีกเลย เราใช้คำว่า “ดับ” เหมือนไฟดับ ไฟที่ดับจะกลับมาอีกไหม ไม่มีทางที่จะกลับมาได้อีกเลย แต่ถ้ามีไฟใหม่เกิดขึ้นได้ ต้องมีเชื้อไฟอันใหม่ ทำให้ไฟอันใหม่เกิดขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ดับไปแล้วก็เกิดขึ้นอีก แต่ไฟใหม่ไม่ใช่ไฟเก่า

    เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่มีจริงๆ ในโลกนี้ที่เกิดปรากฏให้รู้ว่ามีจริง แท้ที่จริงแล้วดับเร็วมาก เร็วจนเราไม่รู้เลยว่า ขณะนี้สภาพธรรมกำลังเกิดดับ และทั้งหมดนี้คืออนัตตา หมายความว่าไม่ใช่ของเรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา และไม่เป็นของใครเลยทั้งสิ้น

    “ธรรม” มาจากคำว่า “ธาตุ” เคยได้ยินคำว่า “ธาตุ” ใช่ไหมคะ พอพูดถึงธาตุ มีใครจะเป็นเจ้าของธาตุอะไรได้บ้าง อย่างธาตุทอง ใช้ได้ไหมคะ ธาตุเงิน ใช้ได้ไหมคะ และถ้าไปเรียนหนังสือก็จะมีธาตุอีกหลายธาตุเลย มากมาย แล้วมีใครเป็นเจ้าของบ้าง ต้นไม้ใบหญ้าที่เกิดมา มีใครเป็นเจ้าของบ้าง ไม่มี นอกจากต้นไม้ใบหญ้า ที่ร่างกายของเรา มีใครเป็นเจ้าของบ้าง ไม่มี แล้วที่ตัวมีอะไรบ้างคะ ที่ว่าไม่มีเจ้าของ

    ผู้ฟัง ไม่มีอะไรที่เราเป็นเจ้าของได้เลย

    ท่านอาจารย์ เช่น

    ผู้ฟัง ร่างกายเรา หรือพ่อแม่เรา หรือทุกคนที่เราเห็น ก็ไม่มีใครเป็นเจ้าของ

    ท่านอาจารย์ แล้วนี่ตัวเราหรือเปล่าคะ

    ผู้ฟัง ใช่ค่ะ

    ท่านอาจารย์ เราเป็นเจ้าของตัวนี้หรือเปล่า

    ผู้ฟัง คำว่า “เจ้าของ” หมายความว่าเราต้องยึดติดกับมันไปตลอดหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ หมายความว่า มันเหมือนของเรา อย่างตาของเรา หูของเรา ใจของเรา ความรู้สึกของเรา ใช่ไหมคะ

    ผู้ฟัง ใช่ค่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วเราต้องเข้าใจว่า พระพุทธศาสนาละเอียด ลึกซึ้ง และยาก ต้องยากแน่นอน ถ้าง่ายก็มีพระอรหันต์เยอะแยะ มีพระโสดาบันมากมาย แต่ว่าที่ยาก เพราะกว่าจะรู้ความจริงว่า ไม่มีเราเลยที่นี่ ไม่มีใครสักคนเลย พอจะรับไหวไหมคะ ไหวไหมคะ ไหวคือคนที่ฟังมาบ้างแล้ว แต่คนที่ฟังใหม่ๆ เราต้องคิดว่า เป็นไปได้อย่างไร เพราะเหตุว่าสิ่งสำคัญที่สุดในโลก ลองคิดดูว่า คืออะไรแน่ เมื่อกี้ตอบว่า คือความสุข แต่ที่จริงแล้วคือชีวิต ถ้าไม่มีชีวิตจะมีความสุขไหม ไม่มี จะมีความทุกข์ไหม จะมีพ่อแม่ พี่น้อง มีตัวเราไหม ไม่มีใช่ไหมคะ เหมือนอย่างหญ้าที่อยู่ข้างนอก ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ แต่เวลาที่เกิดมีชีวิตขึ้น เมื่อมีชีวิตก็จะมีความรู้สึก แล้วก็รู้สึกว่า นี่เป็นเรา นั่นเป็นเขา หรือนี่เป็นใคร

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่น่าสนใจที่สุด ก็คือสิ่งที่มีชีวิต เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีสิ่งที่มีชีวิต ก็จะไม่รู้เรื่องราวต่างๆ ไม่เห็น ไม่ได้ยินเลย อย่างโต๊ะ เก้าอี้ ไม่มีชีวิต เพราะฉะนั้น โต๊ะ เก้าอี้จะสุขไม่ได้ จะทุกข์ไม่ได้ จะลำบากเดือดร้อนไม่ได้เลย แต่เมื่อมีชีวิตถึงจะรู้ว่า นั่นเป็นคน สิ่งนั้นเป็นอะไร สิ่งนี้เป็นอะไร

    เพราะฉะนั้น ก่อนจะศึกษาธรรม เรารู้สึกว่า เรามีชีวิตแล้วเราเข้าใจชีวิต แต่ถ้าศึกษาจริงๆ แล้ว เราก็ต้องมาถึงที่ละเอียดกว่านั้นอีกว่า ชีวิตคืออะไร ต้องมาถึงจุดนี้ด้วยว่า ชีวิตคืออะไร ขณะนี้รู้ความต่างของสิ่งที่ไม่มีชีวิตกับสิ่งที่มีชีวิต แต่ก็ต้องถามว่า ชีวิตคืออะไร พอจะตอบได้ไหมคะ

    ผู้ฟัง ชีวิตคือต้องมาใช้กรรม

    ท่านอาจารย์ ยังไม่ต้องพูดถึงกรรม ชีวิตคืออะไร เทียบคนตายกับคนเป็น แล้วจะค่อยๆ เข้าใจชีวิต คนตายมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ไม่มี คนเป็นมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ต่างกันอย่างไรระหว่างคนเป็นกับคนตาย ตรงไหนที่ต่างกัน เขาก็มีผม แล้วก็มีหู แล้วก็มีขา แล้วคนเป็นกับคนตายต่างกันอย่างไร

    ผู้ฟัง คนเป็นมีจิต คนตายไม่มีจิต

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ที่เราใช้คำว่า “ชีวิต” ต้องหมายความถึงสภาพที่สามารถจะรู้ หรือรู้สึก หรือคิด นี่คือสิ่งที่มีชีวิต เพราะฉะนั้น สิ่งนี้มีจริง อย่างคนตายมีตาแต่ไม่เห็น มีหู แต่จริงๆ ก็เพียงแต่รูปร่างของตา แต่จักขุปสาทไม่มี เพราะฉะนั้น ก็ไม่เห็น

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีชีวิต อย่างเราที่นั่งอยู่ขณะนี้ เพราะมีสภาพที่สามารถจะรู้ จะเห็น จะคิด จะนึก มีจริงๆ ใช่ไหมคะ

    เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะพูดถึงธรรม หมายความถึงสิ่งที่มีจริง เอาตัวเราออกหมดเลย พูดถึงแต่สิ่งที่มีจริง คือ ธรรม จะมีธรรม ๒ อย่างใหญ่ๆ ที่ต่างกัน อย่างหนึ่งก็เป็นสภาพที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย แต่ว่ามีจริงๆ อย่างแข็ง มีจริงหรือเปล่า แข็งมีจริง ถ้ามีจริง ก็เป็นธรรมชนิดหนึ่ง กลิ่นมีจริงไหมคะ มีจริง แต่กลิ่นไม่มีชีวิต แข็งก็ไม่มีชีวิต ไม่สามารถรู้ ไม่สามารถคิดได้

    เพราะฉะนั้น ถ้าแยกธรรมเป็น ๒ ประเภทใหญ่ ส่วนที่มีจริงๆ แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ภาษาธรรมใช้คำว่า “รูปธรรม” คือทุกอย่างเป็นธรรมอยู่แล้ว แต่เราเติมคำว่า “รูปะ” หรือ “รูป” เข้าไป หมายความถึงสภาพที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย

    การศึกษาธรรมเวลานี้เหมือนกับเราศึกษา เพราะว่าเป็นสิ่งที่จะทำให้เราค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่เราได้ฟัง การที่เราเริ่มเข้าใจสิ่งเราได้ฟัง คือการศึกษาชนิดหนึ่ง จะโดยฟัง โดยอ่าน โดยคิด อะไรก็ได้ แต่ทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟัง

    เพราะฉะนั้น เราอาจเคยคิดเรื่องราวของชีวิต เรื่องโลก เรื่องอะไรมาแล้วก็ตาม แต่ขณะนี้ไม่ต้องเอามาเกี่ยวข้องเลย เพราะเป็นความรู้ใหม่อีกเรื่องหนึ่ง อีกศาสตร์หนึ่งซึ่งจะพูดถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมดตามการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะกี่ยุค กี่สมัย ก็ไม่มีใครสักคนที่จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ แสดงว่าความรู้ของเรายังไม่สิ้นสุด แต่เวลาที่ใช้คำว่า “ตรัสรู้” หมายความว่า ทรงสามารถรู้ความจริงของสภาพธรรมทุกอย่าง ไม่เว้นเลย ตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้นๆ จึงเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย ไม่ว่านักวิทยาศาสตร์หรือศาสตร์อื่นๆ ทั้งหมด เช่น แพทย์ อาจจะใช้คำที่ต่างกัน แต่ความรู้ของนักจิตวิทยาทั้งหลาย หรือนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายยังไม่สิ้นสุด เพราะเหตุว่าไม่ใช่การตรัสรู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น จึงใช้คำว่า “ตรัสรู้”

    เวลาที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วทรงแสดงพระธรรม มีคนอื่นตรัสรู้ตามไหมคะ ลองคิดดู ไม่มีหรือคะ ถ้าอย่างนั้นคำสอนก็เป็นโมฆะ

    ผู้ฟัง หมายความว่าคิดได้ด้วยตัวเองหรือเปล่าครับ

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ค่ะ ตรัสรู้ไม่ใช่ขั้นคิด ทุกคนคิดอะไรก็ได้ คนโน้นคิดอย่าง คนนี้คิดอย่าง นักวิทยาศาสตร์ก็คิดสิ่งใหม่ๆ เสมอ ทฤษฎีก็เปลี่ยนไป อันเก่าเป็นอย่างนี้ อันใหม่ก็เปลี่ยนไปอีกก็ได้ แต่การตรัสรู้เพราะประจักษ์ ใช้คำว่า “ประจักษ์แจ้ง” คือเห็นชัดด้วยปัญญาตามความเป็นจริงของสิ่งนั้นๆ ซึ่งละเอียดมาก ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอีกได้เลย จึงใช้คำว่า “ตรัสรู้”

    เพราะฉะนั้น เมื่อทรงตรัสรู้แล้วทรงแสดงพระธรรมแล้ว ให้คนอื่นเกิดความเข้าใจอบรมเจริญปัญญาถึงระดับที่จะรู้แจ้งอย่างนั้น เมื่อใช้คำว่า “รู้แจ้งอย่างนั้น” ก็คือตรัสรู้ อีกคำหนึ่งใช้คำว่า “อภิสมัย” สมัย แปลว่า กาลเวลา อภิ แปลว่า ยิ่งใหญ่ ใหญ่ที่สุดของภพชาติ ไม่มีอะไรใหญ่เท่ากับการรู้ความจริงของสภาพธรรมอย่างที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ก่อน และได้ทรงแสดงพระธรรม

    เพราะฉะนั้น สาวก พระอริยสงฆ์ อย่างที่เราใช้คำว่า “พระรัตนตรัย” พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ได้หมายความถึงพระภิกษุที่บวช แต่หมายความถึงผู้ที่อบรมเจริญปัญญาจนสามารถรู้ความจริงโดยการตรัสรู้ อย่างที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ก่อนแล้วทรงแสดง

    เพราะฉะนั้น อภิสมัยยิ่งใหญ่มาก คือ การรู้แจ้งสภาพธรรมที่ใช้คำว่า “อริยสัจ ๔” ทำให้คนนั้นพ้นสภาพจากความเป็นธรรมดาที่เราใช้คำว่า “ปุถุชน” คงเคยได้ยินบ่อยๆ ที่บอกว่า “ฉันเป็นปุถุชน คนธรรมดา” ก็ต้องต่างจากผู้เป็นพระอริยะ อริยะ คือ ผู้ที่เจริญ แต่เจริญที่นี่ เจริญด้วยปัญญา เจริญด้วยความรู้ เจริญด้วยความดี ไม่ใช่เจริญทางด้านวัตถุ ที่เราใช้คำว่า “อารยธรรม” หมายความถึงทางด้านวัตถุ แต่ถ้าเป็นอริยบุคคล คนนั้นได้อบรมจิตใจจนกระทั่งสามารถรู้แจ้งความจริง บรรลุความดีที่สามารถมีปัญญาประจักษ์แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ จึงมีทั้งพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และพระสังฆรัตนะ พระสังฆรัตนะก็คือพระอริยบุคคล

    ถ้ามีแต่พระพุทธรัตนะ ก็ไม่มีใครสามารถรู้ตามได้ คำสอนก็เป็นโมฆะ ไม่ได้ช่วยใครให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเลย แต่เพราะเหตุว่าเมื่อตรัสรู้แล้วทรงประกอบด้วยพระญาณมากมายมหาศาล สามารถรู้ว่า คนที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมดอดีตชาติก่อนๆ นานแสนนานเป็นอะไร

    เพราะฉะนั้น ปัญญาระดับของชาวโลกทั้งหมด อย่าเปรียบกับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ไม่ได้อบรมเหตุที่จะให้สมบูรณ์ถึงระดับนั้น ที่สามารถรู้ทุกอย่างทั้งอดีต และปัจจุบัน และถึงอนาคตที่จะเกิดขึ้น เพราะมีปัจจัยที่จะให้กระแสของโลกเป็นอย่างไร ของแต่ละบุคคลเป็นอย่างไร ก็สามารถตรัสรู้ได้

    ถ้ายิ่งศึกษาก็ยิ่งจะเห็นว่า เป็นความจริง แต่เราก็ต้องเริ่มจากการค่อยๆ เข้าใจว่า ธรรมที่ทรงแสดงไม่ใช่จากการคิดค้น แต่จากการตรัสรู้ หมายความว่า ประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ตามความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้น เข้าใจความหมายของธรรมแล้ว ธรรมคือทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงๆ และผู้ที่ตรัสรู้ธรรมก็คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ทรงแสดงธรรมเพื่อให้คนอื่นเข้าใจธรรมตามที่พระองค์ได้ตรัสรู้ด้วย คือ ทรงตรัสรู้ว่า ทุกอย่างเป็นอนัตตา ไม่มีใครเป็นเจ้าของเลย พระจันทร์มีใครเป็นเจ้าของหรือเปล่าคะ พระอาทิตย์ ดิน โลก น้ำ ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีใครเป็นเจ้าของเลย แม้แต่สิ่งมีชีวิตทั้งหมดก็เป็นธรรม ซึ่งต่างกันเป็น ๒ อย่าง อย่างแรกที่เราพูดถึง คือกล่าวถึงทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมก่อนว่า สิ่งที่มีจริงแต่ไม่สามารถรู้อะไรได้เลย ทางธรรมใช้คำว่าอะไร ทวนอีกครั้งหนึ่งค่ะ พูดมาตั้งนาน จำได้ไหมคะ รูปธรรม สมัยนี้คงได้ยินจากวิทยุ และโทรทัศน์ใช้คำนี้บ่อยๆ “รูปธรรม” แต่ภาษาไทยหรือคำที่ชาวโลกใช้ เอาไปไว้ส่วนหนึ่ง ความหมายไม่เหมือนคำที่ใช้ในพระพุทธศาสนา เพราะภาษาไทยใกล้ชิดกับภาษาบาลี จึงใช้คำภาษาบาลี โดยที่ไม่เข้าใจความหมายนั้นจริงๆ แต่ขอยืมมาใช้ผิดๆ ถูกๆ ตามความคิดของเรา

    เพราะฉะนั้น ตอนนี้เราเอาส่วนผิดออกไป ให้เหลือแต่ส่วนถูก ที่เราจะเข้าใจจริงๆ ว่า ความหมายเดิมคืออย่างไร อย่าง “ธรรม” คือ สิ่งที่มีจริงทุกอย่าง แต่พอเพิ่มคำว่า “รูปะ” หรือ “รูป” รวมกับธรรม คือ ธรรมส่วนที่เป็นรูป ที่เป็นรูปธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น มีไหมคะ รูปธรรม มี ที่ไหนบ้างที่มีรูปธรรม

    ผู้ฟัง ก็มีอยู่ทั่วๆ ไป

    ท่านอาจารย์ ทั่วๆ ไป ที่ตัวมีไหมคะ มี นอกตัวมีไหมคะ มี ข้างบนมีไหมคะ มี ไม่พ้นเลย ถ้าเข้าใจแล้วจะรู้ว่า ไม่พ้นจากธรรม นี่คือความรู้ แต่ก่อนไม่เคยรู้เลย ต้องไปแสวงหาธรรมที่ต่างๆ พยายามไปที่โน้นบ้าง ที่นี่บ้าง แต่พอเข้าใจจริงๆ ก็คือรู้ว่า ทุกอย่างเป็นธรรมไม่พ้นจากธรรมเลย สิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นธรรม

    เราเข้าใจเรื่องรูปธรรมดีแล้ว หรือมีใครอยากจะซักถามเรื่องรูปธรรมบ้างคะ เข้าใจเรื่องรูปธรรมทุกคนหรือเปล่าคะ รูปธรรมอยู่ในพระไตรปิฎกหรือเปล่าคะ เราจะฟังทีละคำ และให้เข้าใจตามไปทีละคำ จะได้ไม่ลืม และไม่สับสน ที่เคยอ่านเคยฟังเคยรู้มาทั้งหมด ทิ้งไปเลย หรือยังไม่ต้องเอามาเกี่ยวข้องที่นี่ก็ได้ จำไว้ เก็บไว้ แต่กำลังฟังสิ่งใหม่

    เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเราจะศึกษาวิชาอะไรทั้งสิ้น อย่างในห้องเรียน คนที่กำลังพูดเรื่องอะไร เรามีหน้าที่ฟังให้เข้าใจสิ่งที่เราได้ยินได้ฟังเท่านั้น ไม่ต้องเอาสิ่งอื่นมารวม เพราะเรากำลังฟังเรื่องนั้น ถ้าเขาจะพูดเรื่องปลูกต้นไม้ เราจะเอาเรื่องกับข้าวในครัว ขิง ข่ามาคิดไหมคะ เราก็ไม่ไปเอามาก เรากำลังเรื่องพูดต้นไม้ เราก็ฟังเรื่องต้นไม้ว่า มันคืออะไร

    เพราะฉะนั้น ทุกวิชาหมดไม่ว่าที่ไหน เวลาฟังก็หมายความว่า ฟังให้เข้าใจสิ่งที่กำลังได้ยิน ถ้าจะสงสัยหรืออยากจะถาม ก็ต้องถามเรื่องที่เรากำลังได้ยินได้ฟังเท่านั้น เอาแค่ที่ได้ยินได้ฟัง ไม่เกินเลยไปถึงที่อื่น

    เพราะฉะนั้น เวลานี้ที่บอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรม หมายความถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นธาตุ หรือธรรม หมายความถึงว่า ไม่มีใครเป็นเจ้าของเลย แล้วไม่เป็นของใครเลย จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีเหตุปัจจัยปรุงแต่งทำให้สิ่งนั้นๆ เกิดขึ้น เช่น เสียง เสียงเกิดจากอะไร เสียงมีที่เกิดไหมคะ

    ผู้ฟัง มีค่ะ

    ท่านอาจารย์ อะไรเป็นที่เกิดของเสียง

    ผู้ฟัง มาจากกล่องเสียงข้างในคอ

    ท่านอาจารย์ แล้วถ้าไม่ใช่กล่องเสียง มีเสียงได้ไหมคะ

    ผู้ฟัง ไม่มีค่ะ

    ท่านอาจารย์ แน่ใจหรือคะ

    ผู้ฟัง มีค่ะ ถ้าเผื่อเราทำให้เกิด

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่ทำ ยังจะมีเสียงไหม

    ผู้ฟัง มีค่ะ แต่เป็นเสียงที่เกิดจากคนอื่นทำ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เสียงนั้นเกิดจากของแข็ง ๒ อย่างกระทบกันแรงๆ นี่ค่ะ เมื่อกี้ก็มีเสียงแล้ว เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่เกิด ต้องมีสิ่งที่ทำให้เกิด ที่เราใช้คำว่า “ปัจจัย” จะเกิดเองไม่ได้เลยทั้งสิ้น นี่คือการตรัสรู้ เพราะว่าโดยมากเราเกิดมาแล้ว เราไม่เคยคิดว่า เราเกิดมาอย่างไร ชีวิตต่อไปเราจะเป็นอย่างไร ทำไมวันนี้เราคิดอย่างนี้ วันก่อนเราคิดอีกอย่างหนึ่ง ทำไมเพื่อนเราคิดอย่างนี้ เราไม่เคยคิดมาเลย แต่จากการตรัสรู้ทรงแสดงความละเอียดทุกเสี้ยววินาที และเล็กยิ่งกว่านั้นอีก คือ ทุกขณะจิต

    เพราะฉะนั้น นี่คือการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทรงรู้ว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนเลย


    หมายเลข 1430
    26 ก.ค. 2567