อะไรเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต


    ผู้ฟัง ผมมาไม่ทันตอนที่พูดถึงว่า ต้องเรียนธรรมไปเพื่ออะไร

    ท่านอาจารย์ อะไรเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต มีคนตอบว่าความสุข แต่ความสุขก็ไม่ยั่งยืน และบังคับบัญชาไม่ได้ด้วย แล้วก็ทำให้เราติดข้องต้องการแต่ความสุข หาทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกวันเพื่อความสุขทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ บางคนก็ทำความเดือดร้อนให้คนอื่น ทำทุจริตเบียดเบียนตั้งแต่เล็กแต่น้อย จนกระทั่งถึงใหญ่ๆ โตๆ ก็ได้ เพื่อแสวงหาความสุข นี่เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเลย เพราะไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง ความสุขอะไรก็ตามที่เกิดขึ้น สิ่งนั้นไม่ยั่งยืน ดับทันที หมดไปเลย แล้วทำไมเราไปติดข้องกับสิ่งที่เพียงเกิดแล้วก็หมดไป

    อย่างทุกวันนี้เราเห็น แล้วไม่รู้ตัวสักนิดหนึ่งว่า เราเห็นแล้วเรามีความรู้สึกอย่างหนึ่งอย่างใดกับสิ่งที่เห็นตลอดเวลา รักบ้าง ชังบ้าง เฉยๆ บ้าง แต่สิ่งนั้นก็หมดไป เพียงแค่เกิดมาให้รู้สึกรัก ชัง แล้วก็หมดเท่านั้นเอง แม้ความรู้สึกรัก ชังนั้นก็ไม่เหลือด้วย คือทุกอย่างไม่มีอะไรเหลือ แล้วเราควรรู้ความจริงนี้ หรือไม่ควรรู้ ให้ติดต่อไป ให้หลงต่อไป ให้หวังต่อไป ให้เป็นทุกข์ต่อไป

    นี่คือประโยชน์ของการฟังพระธรรมคือรู้ว่า อะไรเป็นสัจธรรม เป็นความจริงซึ่งมีประโยชน์มากมายมหาศาลกับทุกชีวิตที่ได้รู้ความจริง ถ้าไม่รู้ความจริง จะมีความเป็นเรามากมาย และเป็นเหตุให้เกิดอกุศลเยอะแยะหมดเลย ทุกชาติๆ ไป เพิ่มขึ้นๆ

    เพราะฉะนั้น เราจะเห็นชีวิตของคนที่ต่างกัน บางคนก็นิสัยดี บางคนก็เห็นแก่ตัว บางคนก็ชอบโกหก พูดอะไรก็ไม่จริง บางคนทำสิ่งไม่ดีไม่ได้เลย พูดจริงตลอด คำไม่จริงเขาไม่สามารถกล่าวได้ หรือสิ่งไม่ดีก็ทำไม่ได้ บางคนวาจาดีมาก ในขณะที่บางคนก็กล่าววาจาที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนใจ รำคาญหู เสียงก็เหี้ยมหรือดุร้าย แต่อีกคนรู้เลยว่า ถ้าไม่มีพูดคำนั้นจะมีประโยชน์กว่า

    เพราะฉะนั้น เราเองก็พอจะรู้ได้ว่า ชีวิตของเราถ้ามีคน ๒ คนให้เราเลือกว่า เราจะเป็นคนไหน คนดีกับคนชั่ว ทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ ทุกคนย่อมอยากเป็นคนดีพร้อม กาย วาจา ใจ มีหนทางที่จะดีพร้อม หนทางนั้นคือคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่มีคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เรารู้ไม่ได้เลยว่า กายของทุกคนที่เคลื่อนไหวขยับเขยื้อน มาจากจิตชนิดไหน คำพูดบางคำฟังดูก็หวานดี แต่ต้องการอะไรในคำหวานๆ นั่นหรือเปล่า เลียบเคียงต้องการจะได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ แล้วก็ใช้คำพูดอย่างนั้นอย่างนี้หรือเปล่า

    นี่เป็นสิ่งที่มีจริง หลอกตัวเองไม่ได้ เพราะตัวเองต้องรู้ อย่างคนที่พูดเท็จ เขารู้ตั้งแต่คิดว่า เขาจะพูดสิ่งที่ไม่จริง เวลาพูดเขาก็รู้ว่า กำลังพูดสิ่งที่ไม่จริง พูดแล้วก็รู้ด้วยว่า พูดแล้วในสิ่งที่ไม่จริง เพราะฉะนั้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ใครชอบที่จะฟังคำไม่จริง ที่จะเป็นคนไม่ดีด้วยประการทั้งปวง แต่การเป็นคนดีไม่ง่าย ถ้าจะเป็นคนดีได้จริงๆ ก็เพราะปัญญาที่รู้ความจริงว่า ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัยทั้งสิ้น เพราะทุกคนอยากจะดี แต่ทำไมบางคนไม่ดีเพราะอะไร

    เพราะฉะนั้น มีหนทางเดียวที่จะทำให้ทุกคนค่อยๆ ดีขึ้น เพราะมีปัญญาค่อยๆ รู้ความจริงขึ้น ไม่อย่างนั้นเราจะไม่เสียเวลามานั่งฟัง หรือไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องมีมูลนิธินี้หรอก กว่าจะมีมูลนิธิได้ก็ยากแสนยาก เพราะว่าต้องการให้ทุกคนได้เข้าใจความจริงว่า พระธรรมที่ทรงแสดงไว้คืออย่างไร และเป็นประโยชน์อย่างไร

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์กำลังพูดว่า ธรรมสามารถเปลี่ยนนิสัยของเราได้ ใช่ไหมคะ

    ท่านอาจารย์ เมื่อมีปัญญา

    ผู้ฟัง ปัญญาคืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ จากการฟัง ขณะนี้เข้าใจอะไร นั่นคือปัญญา ภาษาบาลีใช้คำว่า ปัญญา แต่ภาษาไทยคือความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ความรู้ถูก ซึ่งต่างกับปัญญาในทางโลก อย่างเรียนหนังสือ

    ภาษาไทยเก็บไว้เลย ไม่ต้องนำมาปะปนกับภาษาบาลี เพราะใช้กันสับสน ไม่มีความหมายที่ถูกต้องด้วย

    ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้นความสุขที่แท้จริง พระพุทธเจ้าก็จะรู้ใช่ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ ความสุขที่แท้จริง คือรู้ว่าไม่มีเรา มีเรานี่ทุกข์แค่ไหนคะ

    ผู้ฟัง ก็มากครับ

    ท่านอาจารย์ นั่นแหละค่ะ ใครเขาจะมองเราอย่างไร เขาจะคิดถึงเราว่าอย่างไร เขาจะชอบเราหรือเปล่า เราทำอย่างนี้ผิดไปแล้ว จะทำอย่างไร เดือดร้อนมากมายมหาศาล แต่ถ้ารู้ว่าเป็นธรรม ความเบาจะมี และการที่ความดีทั้งหลายจะหลั่งไหลมาเพราะรู้ว่าไม่มีเรา จะเป็นประโยชน์กับโลกมากมาย ทั้งตัวเอง ทั้งคนอื่น ทั้งสังคมด้วย

    ผู้ฟัง เมื่อก่อนผมเคยสงสัยว่า ถ้าคิดว่าไม่มีเรา เราไม่เอาใจใส่สังคมรอบตัวเรา จะทำให้เพิกเฉยในสังคมหรือเปล่าครับ

    ท่านอาจารย์ นั่นคือความคิด ซึ่งไม่ใช่ความจริง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทำประโยชน์ยิ่งกว่าใครในโลกตั้งแต่ก่อนที่คนอื่นจะตื่นนอน ทรงตรวจดูสัตว์โลกว่า มีใครบ้างที่สะสมมาที่จะทรงอนุเคราะห์ด้วยการแสดงธรรม จะเห็นพระภิกษุออกบิณฑบาตแต่เช้า แต่ก่อนนั้นเสด็จไปโปรดคนที่จะได้รับฟังพระธรรมแล้วจะเข้าใจ แม้จะไม่ใช่วันนั้น แต่อีกนาน เขาก็จะเข้าใจได้ ก็เสด็จไป หลังจากที่บิณฑบาตแล้ว เสวยพระภัตตาหารแล้วก็ทรงแสดงธรรม ก่อนจะเข้าไปประทับที่พระคันธกุฎีพักผ่อน หลังจากนั้นก็ออกมาสนทนาธรรมอีก และตอนเย็นก็มีคนไปเฝ้า พวกชาวบ้านชาวเมืองเมื่อทราบว่า ประทับอยู่ที่ไหนก็ไปเฝ้าเพื่อฟังธรรม ตอนค่ำชาวบ้านกลับไปหมดแล้ว พระภิกษุก็มาทูลถามปัญหาต่างๆ หมดพระภิกษุ ก็มีเทวดามาอีกตอนดึก บรรทมเพียง ๑ ชั่วโมง ชีวิตใครมีประโยชน์อย่างนี้บ้าง ที่ทำได้อย่างนี้เพราะอะไร เพราะพระมหากรุณาคุณที่รู้ว่า ถึงจะมีทรัพย์สินมหาศาล มีทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่เที่ยง ไม่มีใครเอาอะไรไปได้เลย คำชมแค่ผ่านหูก็หมดแล้ว ไปตื่นเต้นอะไรนักหนา เฟื่องฟูอะไรมากมายหลายวันหลายคืน ใช่ไหมคะ เพราะความเป็นเรา เพราะมีเรา แต่ถ้าไม่มีเรา ก็มีธรรมที่เป็นฝ่ายกุศลกับฝ่ายอกุศล กุศลคือสภาพธรรมที่ดีงาม อกุศลก็คือสภาพธรรมที่ไม่ดีงาม แล้วเมื่อรู้อย่างนี้ ใครล่ะจะทำสิ่งที่ไม่ดีงาม ถ้าปัญญาถึงระดับที่สามารถจะดับอกุศลได้ เพราะว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงพระนามว่า “พระอรหันต์” เพราะเหตุว่าเป็นผู้ไกลจากกิเลส คือดับกิเลส ไม่มีกิเลสใดๆ มาแผ้วพานได้เลย อย่างเราเห็นอาหารอร่อย รู้สึกอย่างไรคะ

    ผู้ฟัง อยากกิน ชอบ

    ท่านอาจารย์ แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์ไม่มีความติดข้องเลย ไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ ไม่มีริษยา ไม่มีอะไรทุกอย่างที่ไม่ดี เพราะฉะนั้น จะเบาสบายไหมคะ เห็นใครก็ไม่เดือดร้อน ใครจะเปลี่ยนสีผมอย่างไร ก็ไม่เห็นเดือดร้อนเลย มีแต่เมตตาในความไม่รู้ว่า เขายังไม่รู้ แล้วมีทางไหนที่เขาจะรู้ได้ ก็ช่วยให้เขาได้รู้ เหมือนอย่างที่พระองค์ทรงรู้ ทรงกำจัดกิเลสซึ่งเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เราทุกข์เพราะกิเลส ทั้งๆ ที่วันนี้เราก็แข็งแรงดี ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย แต่ใจที่กำลังเดือดร้อนสักนิดหนึ่ง ก็เพราะกิเลส แต่ถ้าลองคิดถึงผู้ไม่มีกิเลส เพราะดับสนิท ไม่มีเชื้อที่จะเกิดกิเลสใดๆ ได้อีกเลย จะทำประโยชน์ได้มากมายแค่ไหน ที่เราทำประโยชน์ได้น้อย สละได้น้อย เพราะยังมีเรา แต่ถ้ามีปัญญาจริงๆ ดับกิเลส กิเลสจะหมดไปเป็นส่วนๆ แล้วก็จะทำประโยชน์ได้มากขึ้น

    ผู้ฟัง พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลายท่านก็เริ่มต้นจากการฟังอย่างนี้ การสนทนาอย่างนี้ ศึกษาอย่างนี้ พวกเราทุกคน เด็กๆ ก็ต้องเริ่มจากตรงนี้

    ท่านอาจารย์ ค่ะ การเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยพระปัญญา ถ้าไม่มีปัญญาก็ดับกิเลสไม่ได้ เพราะฉะนั้น จากความไม่รู้สู่ความค่อยๆ รู้ขึ้น ด้วยการเป็นพหูสูต คือ ผู้ฟังมาก ฟังแล้วต้องไตร่ตรอง และเข้าใจด้วย

    เพราะฉะนั้น ที่จะบอกว่า เวลาฟังให้เข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง พอเข้าใจสิ่งที่กำลังฟังวันนี้ ฟังอีกก็เข้าใจเพิ่มอีกจากสิ่งที่เข้าใจแล้วจากการฟัง เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปคิดเรื่องอื่นซึ่งเราคิดเองไม่ได้ เราต้องอาศัยการฟังจริงๆ ที่จะฟังแล้วก็รู้ว่า ความเข้าใจของเราที่เข้าใจจริงๆ จะค่อยๆ เสริมเพิ่มขึ้นเมื่อมีพื้นฐานที่มั่นคงจากความเข้าใจจริงๆ แม้ว่าจะเป็นคำ สองคำ ๓ คำ แต่ขอให้เข้าใจคำนั้นจริงๆ

    ผู้ฟัง เคยได้ยินได้ฟังมาว่า การฟังธรรมที่ถูกต้อง ต้องมีการสะสมมาแต่ชาติปางก่อน ท่านอาจารย์จะกรุณาอธิบายอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ชาตินี้ก็เป็นปางก่อนของชาติหน้า ก็ไม่ต้องไปคิดถึง เราจะรู้ตัวเราได้ว่า ขณะที่ฟังเราเข้าใจหรือเปล่า นี่สำคัญที่สุด ประโยชน์ของการฟังคือเข้าใจในสิ่งที่ได้ฟัง ไม่อย่างนั้นจะเสียเวลามาก ๓ ชั่วโมงนั่งนิ่งอยู่ตรงนี้ แล้วไม่เข้าใจอะไรเลย กับ ๓ ชั่วโมงที่เริ่มเข้าใจขึ้น เราจะเห็นความต่าง และประโยชน์

    เพราะฉะนั้น ขอให้เข้าใจ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ไม่ใช่จำ


    หมายเลข 1489
    25 ก.ค. 2567