สิ่งที่มีจริง...มีจริงเมื่อไร


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น นี่คือการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทรงรู้ว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนเลย เวลาไม่รู้ก็คิดว่า เป็นสิ่งโน้น สิ่งนี้ แต่พอรู้แล้วก็คือธรรมทั้งหมด แล้วจะค่อยๆ เข้าใจความละเอียดของธรรมแต่ละอย่างเพิ่มขึ้น

    ตอนนี้เข้าใจคำว่า “รูปธรรม” หมายความถึงสิ่งที่มีจริงๆ แล้วไม่สามารถจะรู้อะไรได้ สิ่งที่มีจริง มีจริงเมื่อไรคะ ถามให้คิดอีก สิ่งที่มีจริง มีจริงเมื่อไร สิ่งที่มีจริงมีชั่วขณะที่ปรากฏ จริงในขณะที่ปรากฏ เฉพาะในขณะที่ปรากฏ อย่างเสียงมีจริงเมื่อไร จริงเมื่อเสียงกำลังปรากฏ พอไม่มีเสียงแล้ว จะบอกว่า เสียงเมื่อกี้นี้ดับไปแล้ว ขณะนี้เสียงยังไม่ปรากฏเลย มีจริงไหม ขณะที่เสียงไม่ปรากฏ เสียงมีจริงไหม

    ผู้ฟัง ไม่มีค่ะ

    ท่านอาจารย์ ไม่มี เพราะไม่ปรากฏ ยังไม่เกิด เพราะฉะนั้น ชีวิตของเราทุกขณะซึ่งเหมือนกับว่า ไม่เคยสูญหายไปเลยสักขณะเดียวตั้งแต่เกิดจนตาย ให้ทราบว่า แท้ที่จริงแล้วในขณะหนึ่งมีชั่วขณะที่ปรากฏ ยกตัวอย่างเสียง เสียงมีเมื่อปรากฏ แต่เวลาที่เสียงไม่ปรากฏ จะบอกว่าเสียงมีได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ชีวิตสั้นมาก เสียงที่ปรากฏ หมดไปแล้ว แล้วก็ปรากฏอีก แล้วก็หมดไปแล้ว แล้วก็ปรากฏอีก แล้วก็หมดไปแล้ว นี่คือทุกอย่างที่ปรากฏสืบต่อกันเหมือนไม่มีอะไรหายไปเลย แต่ความจริงทุกอย่างที่เกิด ดับทันที เร็วมาก ถ้าไม่ศึกษาธรรม ไม่มีทางจะรู้ความจริง ก็คือว่าทุกอย่างสืบต่อตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ความจริงแล้ว วันหนึ่งๆ มีอะไรบ้างที่ยังเหลือ ที่เห็นเมื่อเช้านี้อยู่หรือเปล่าคะ

    ผู้ฟัง บางอย่างก็อยู่ บางอย่างก็ไม่อยู่ค่ะ

    ท่านอาจารย์ เห็น เอาเห็น ไม่ใช่เอาสิ่งที่ถูกเห็น

    ผู้ฟัง ไม่อยู่ค่ะ

    ท่านอาจารย์ ไม่อยู่แล้ว เห็นเมื่อกี้นี้อยู่หรือเปล่า ไม่อยู่แล้ว ได้ยินเมื่อกี้นี้อยู่หรือเปล่า ไม่อยู่แล้ว ได้ยินขณะนี้อยู่หรือเปล่า

    ผู้ฟัง อยู่ค่ะ

    ท่านอาจารย์ หมดแล้วค่ะ เร็วแสนเร็ว เพราะฉะนั้น การฟังธรรม อย่าคิดว่า เราจะเข้าใจได้เร็ว วันเดียว ฟังครั้งเดียว แต่ต้องตลอดชีวิต และจะค่อยๆ เข้าใจความจริงขึ้น แล้วความจริงนี้ไม่เปลี่ยน ถ้ามีคนบอกว่า ทุกอย่างเที่ยง ไม่มีอะไรสูญหาย ดับไปเลย ถูกหรือผิด ถ้าไม่รู้ ก็ตอบว่าถูก ไม่เห็นอะไรหายไปเลย ก็นั่งกันอยู่ที่นี่ นานหลายนาทีแล้ว แต่ผู้รู้จะรู้เลยว่า ย่อยลงไปแล้วจนเล็กว่าเสี้ยววินาที ทุกอย่างที่เกิดแล้วดับ สืบต่อกัน แม้แต่เห็นขณะนี้ก็ไม่ใช่ขณะก่อน ถอยๆ ไปจนกระทั่งไม่ใช่ขณะเมื่อเช้านี้ ไม่ใช่ขณะเมื่อวานนี้ ไม่ใช่ขณะตั้งแต่เกิดจนกระทั่งโตมา

    เพราะฉะนั้น ทุกอย่างถ้ารู้แล้ว จะรู้ได้ว่า มีแล้วหามีไม่ คือเกิดแล้วดับเร็วมากทันที ไม่มีอะไรเหลือ ชีวิตตอนเด็กตั้งแต่เกิด ไม่เหลือเลย ตอนเข้าโรงเรียนอนุบาล ยังเหลือไหมคะ ไม่เหลือ พรุ่งนี้ ชีวิตขณะนี้จะเหลือไหมคะ ก็ไม่เหลือ เพราะฉะนั้น จะมีคำเพิ่มขึ้นมาอีกคำหนึ่ง คือ “อนิจจัง” ไม่เที่ยง หมายความถึงเกิดดับ คำว่า “ไม่เที่ยง” ทีนี้ หมายความว่าเกิดแล้วก็ดับ

    เพราะฉะนั้น ในพระพุทธศาสนาทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดปรากฏ จะต้องมีลักษณะ ๓ อย่าง คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คนที่เคยไปวัด ต้องเคยได้ยิน แต่ถ้าคนที่ไม่เคย ก็ไม่ได้ยิน คุณยุ้ยเคยได้ยินไหมคะ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่อาจจะไม่เคยรู้ความหมายแท้จริง ก็คิดคร่าวๆ ว่า เกิดแล้วก็แก่ แล้วก็เจ็บ แล้วก็ตาย นั่นคืออนิจจัง แล้วก็ทุกข์ด้วย แล้วก็อนัตตาด้วย แต่ถ้ารู้ละเอียด ทุกขณะ รูปธรรมทุกชนิด กลิ่นเกิดปรากฏแล้วก็หมด เสียงเกิดปรากฏแล้วก็หมด รสกระทบลิ้นปรากฏแล้วก็หมด เย็นกระทบกายแล้วก็หมด คือ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดปรากฏแล้วหมด หมดไปจริงๆ ไม่กลับมาอีกเลย

    เพราะฉะนั้น ทุกคนเกิดมาต้องไป ไปจากความเป็นเด็กเล็กๆ สู่ความเป็นเด็กโต สู่ความเป็นหนุ่มสาว สู่ความแก่ สู่ความเจ็บไข้ได้ป่วย แล้วก็ตาย ไม่มีอะไรเหลือสักขณะเดียว

    เพราะฉะนั้น ถ้าความจริงเป็นอย่างนี้ แล้วเรารู้เสียก่อน จะดีไหมคะ ดีกว่าไม่รู้เลย

    เมื่อวานนี้ก็มีโทรศัพท์มาจากเชียงใหม่ คนที่รู้จักกันเล่าว่า ลูกของเขาอายุ ๑๙ ขับรถชนกำแพงเสียชีวิต แต่ก่อนจะเสียชีวิตสมองตายก่อน แต่เมื่อเช้าคนหนึ่งจะเปิดฟังวิทยุตอนตีสี่ แต่ยังไม่มีรายการธรรม ก็ปรากฏว่ามีคนหนึ่งขับรถเบนซ์ชนกำแพงอีกเหมือนกัน รถเบนซ์ขาด ๒ ท่อง เสียชีวิต อายุ ๒๕ เพราะฉะนั้น ไม่มีใครจะรู้เลยว่า ใครจะจากไปเมื่อไร แต่จะจากไปด้วยการไม่ได้ยินได้ฟังเรื่องชีวิต เรื่องธรรม หรือจากไปด้วยการเริ่มเข้าใจว่า ธรรมคืออะไร คุณค่าของการมีชีวิตอยู่ด้วยความรู้ความเข้าใจถูกในสิ่งที่อยู่รอบตัว รวมทั้งตัวเองด้วยว่า แท้ที่จริงเป็นอนัตตาอย่างไร ไม่ใช่ของเราอย่างไร ก็ทำให้ได้สะสมความรู้ที่ถูกต้องต่อไปอีก เพราะถ้าไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ทรงแสดง ใครก็คิดเรื่องนี้ไม่ได้ ที่จะมากล่าวว่า ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม ๒ อย่าง คือ อย่างหนึ่งเป็นรูปธรรม อีกอย่างหนึ่งเป็นธรรมที่เป็นธาตุอีกชนิดหนึ่งซึ่งต่างกับรูป เพราะเหตุว่ารูปธรรมหมายความถึงสภาพธรรมที่มีจริง แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ แต่ธาตุอีกชนิดหนึ่งวิจิตรมาก แปลกประหลาดมหัศจรรย์จริงๆ เพราะเหตุว่าเป็นธาตุที่รู้ ไม่เหมือนโต๊ะ เก้าอี้ ไม่เหมือนอะไรเลย แต่ทันทีที่ธาตุชนิดนี้เกิดขึ้น จะต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏ เช่น ทางตาขณะนี้กำลังมองเห็นว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอย่างนี้ เพราะเหตุว่ามีสภาพหรือธาตุชนิดหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเห็น แต่ถ้าไม่รู้ว่าเป็นธาตุหรือธรรมชนิดหนึ่ง ก็เป็นเรา และเราเห็นมาตลอด ก็ไม่เคยรู้เลยว่า แท้ที่จริงสภาพที่กำลังเห็นไม่ใช่รูป ไม่ใช่สิ่งหนึ่งซึ่งมีจริง แต่ไม่รู้อะไร แต่สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สามารถเห็น สามารถได้ยิน สามารถได้กลิ่น สามารถลิ้มรส สามารถรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส สามารถคิดนึกทรงจำเรื่องราวต่างๆ ได้

    นี่เป็นธาตุที่มีจริงๆ ที่ใช้คำว่า “ธาตุ” ก็คือ “ธรรม” หมายความว่า เราบังคับไม่ได้ เมื่อมีเหตุปัจจัยปรุงแต่งที่จะเกิดเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น

    ความโกรธ ไม่เห็นมีใครชอบสักคน ใช่ไหมคะ ใช่ แต่เกิด บังคับได้ไหม บังคับไม่ได้ ความโกรธเป็นธรรมหรือเปล่าคะ

    ผู้ฟัง เป็นค่ะ

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมชนิดไหน เวลานี้เรามีธรรม ๒ อย่าง ประเภทใหญ่ๆ ต่างกันชนิดไม่เกี่ยวข้องกันเลย รูปธรรมคือสิ่งที่มีจริง ไม่สามารถจะรู้ จะเห็น จะคิด จะนึกอะไรได้เลย ส่วนธรรมอีกอย่างหนึ่งเป็นสภาพที่มีจริงแล้วต้องรู้ เกิดขึ้นแล้วไม่รู้ไม่ได้ ต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏให้รู้ อย่างเสียง รู้ว่าเสียงอะไร เพราะว่าสภาพนั้นเกิดขึ้นได้ยิน คือสามารถจะรู้ว่า เสียงนั้นเป็นอย่างนั้น ต่างกับเสียงอื่น

    เพราะฉะนั้น ความโกรธเป็นสภาพธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นค่ะ

    ท่านอาจารย์ เป็นสภาพธรรมอะไร

    ผู้ฟัง สภาพธรรมที่รับรู้ได้

    ท่านอาจารย์ นามธรรม ทีนี้จะให้ชื่อแล้ว เมื่อกี้นี้มีรูปธรรมซึ่งเป็นสภาพที่ไม่รู้อะไรเลย แต่สภาพธรรมที่เป็นฝ่ายรู้ ส่วนรู้ ต้องรู้คือ นามธรรม ภาษาไทยเรานี่สับสน นาม แปลว่า ชื่อ แต่ภาษาบาลี นามะ หมายถึงสภาพที่น้อมไปรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด หมายความว่าต้องเกิดแล้วรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่รู้ไม่ได้ นั่นคือนามธรรม มีอะไรสงสัยในเรื่องชื่อนี้ไหมคะ นามธรรม และรูปธรรม ไม่เอาพริก กะปิ หอม กระเทียมมาเกี่ยวข้อง เอาแต่เฉพาะที่ได้ยินได้ฟัง แล้วสามารถเข้าใจถูกในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง

    ถ้าคุณยุ้ยเข้าใจแล้ว บอกมาว่า มีนามธรรมอะไรบ้าง

    ผู้ฟัง ชื่อคน

    ท่านอาจารย์ ไม่เกี่ยวแล้วค่ะ นี่ไม่ใช่ภาษาไทย เอาความหมายที่ว่า มีธรรม ๒ อย่าง ธรรมคือสิ่งที่มีจริง อย่างหนึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นก็เป็นรูปธรรม เสียงก็เป็นรูปธรรม เพราะไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่คิดนึก ไม่จำ ไม่โกรธ แต่ว่านามธรรมเป็นสภาพที่ตรงกันข้ามกับรูปธรรม คือ ไม่มีรูปร่างใดๆ เจือปนเลย ไม่มีใครมองเห็นนามธรรม นามธรรมไม่มีกลิ่น ไม่มีรส แต่เกิดขึ้นเป็นธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถจะเห็น จะรู้ จะจำ จะคิด จะนึก เพราะฉะนั้น ให้ตัวอย่างมาอีกว่า อะไรเป็นนามธรรม

    ผู้ฟัง ความรู้สึก

    ท่านอาจารย์ ความรู้สึกเป็นนามธรรม เพราะมีจริงๆ อะไรอีกคะ ตอบมาได้เยอะแยะเลย ชีวิตประจำวันทั้งหมดเป็นธรรม ความโลภเป็นนามธรรม ความหลงเป็นนามธรรม

    ผู้ฟัง นามธรรมจับต้องไม่ได้ ใช่ไหมคะ

    ท่านอาจารย์ เสียงจับต้องได้ไหมคะ ไม่ได้ เป็นรูปหรือเป็นนาม เป็นรูปธรรม เพราะฉะนั้น รูปธรรมในทางธรรมกินความหมายกว้างกว่าสิ่งที่เราเคยเข้าใจว่า นาฬิกาหรือรูปภาพที่เขียนเป็นรูป ใช่ไหมคะ

    ผู้ฟัง เมื่อก่อนคิดว่า รูปธรรมคือสิ่งที่จับต้องได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้เรื่องราวอื่นทั้งหมดเราไม่สนใจเลย เราฟังอะไร เราต้องเข้าใจเฉพาะที่เรากำลังฟัง ธรรมมีกี่อย่าง

    ผู้ฟัง ๒ อย่าง

    ท่านอาจารย์ ๒ อย่าง คือ รูปธรรมกับนามธรรม ที่มองไม่เห็นเป็นรูปได้ไหมคะ

    ผู้ฟัง ที่มองไม่เห็นเป็นรูปธรรมก็ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไรคะ

    ผู้ฟัง เพราะเป็นสิ่งที่เกิดจริงๆ

    ท่านอาจารย์ เพราะสิ่งนั้นไม่สามารถรู้อะไรได้ สิ่งอะไรก็ตามที่มีจริงๆ แม้มองไม่เห็นแต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ สิ่งนั้นเป็นรูปธรรม รส เราก็มองไม่เห็น ใครเห็นรสหวานบ้าง ใครเห็นรสเค็มบ้าง ไม่เห็นเลย แต่ว่ารสไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น รสเป็นรูปธรรม

    ผู้ฟัง จุดตรงนั้นคือจุด ...

    ท่านอาจารย์ นี่คือความจริงแท้ๆ ถ้าเราไม่ใช่คำว่า “รูปธรรม” แต่รูปธรรมก็ยังมีจริงๆ ถ้าเราไม่ใช้คำว่า “นามธรรม” แต่นามธรรมก็มีจริงๆ แต่เราจำเป็นต้องใช้คำ เพื่อจะแยกให้รู้ว่า เราหมายความถึงอะไร แต่ให้รู้ว่า ธรรมหมายความถึงสิ่งที่มีจริง แม้เราไม่เรียกชื่ออะไรเลย ก็มีจริงๆ บังคับธรรมไม่ให้มีได้ไหมคะ ไม่ได้ มีแล้ว เกิดแล้ว มีจริงๆ จะเรียกชื่ออะไร หรือไม่เรียกชื่ออะไร ธรรมก็ยังคงเป็นธรรม ธรรมอย่างรูปธรรม เราจะเปลี่ยนชื่อเรียกใหม่ได้ไหมคะ

    ผู้ฟัง เปลี่ยนชื่อได้ แต่ความหมายเดียวกัน

    ท่านอาจารย์ เปลี่ยนชื่อได้ แต่ลักษณะของธรรมเปลี่ยนไม่ได้ อย่างรูปธรรมเป็นภาษาไทย มาจากภาษาบาลี ภาษาอังกฤษ ภาษาอื่นก็เปลี่ยนไป เรียกอะไรก็ได้ แต่เปลี่ยนลักษณะของรูปธรรมไม่ได้

    เพราะฉะนั้น เวลาที่เราพูดถึงธรรมซึ่งมีจริงๆ ซึ่งไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงลักษณะได้เลย เราจะเติมอีกคำหนึ่ง คือ “ปรมัตถธรรม” ปรมัตถธรรม มาจากคำว่า ปรมะ หรือ บรม ในภาษาไทย บรม แปลว่าใหญ่ อัตถะ แปลว่า ความหมาย หรือลักษณะ เพราะเหตุว่าธรรม ที่เราจะกล่าวว่า หมายความถึงอย่างนี้ หมายความถึงอย่างนั้น สิ่งนั้นต้องมีลักษณะเฉพาะตัวที่เราจะกล่าวถึงได้ ปรม อัตถะ ธรรม รวมเป็น ปรมัตถธรรม ถ้าไม่มีลักษณะ เรากล่าวถึงความหมายไม่ได้เลย อย่างความโกรธมีลักษณะอย่างไร อรรถ ความหมายหรือลักษณะของความโกรธก็คือ เป็นสภาพธรรมที่หยาบกระด้าง เวลาที่ไม่โกรธ ก็เฉยๆ สบายดี แต่พอเกิดโกรธ จิตใจเป็นอย่างไรคะ หยาบกระด้างจริงๆ ในขณะนั้น มีลักษณะไม่สบายใจเกิดขึ้น นั่นคือมีอรรถ มีลักษณะที่เราสามารถใช้ความหมายหรืออรรถอธิบายความหมายลักษณะของสิ่งนั้นได้

    เพราะฉะนั้น ปรมัตถธรรมก็คือธรรมที่มีลักษณะเฉพาะของตนๆ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย แม้แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เปลี่ยนไม่ได้ เพราะเหตุว่าธรรมอย่างไรก็เป็นธรรมอย่างนั้น เป็นปรมัตถธรรม

    แล้วถ้าจะเพิ่มอีกชื่อหนึ่ง คือ “อภิธรรม” อภิ ก็แปลว่า ยิ่งใหญ่ เหมือนกัน ในพระไตรปิฎกจะมี ๓ ปิฎก คือ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก ที่ใช้คำว่า “พระไตรปิฎก” ทุกคนเข้าใจเลยว่า หมายความถึงคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งพระสงฆ์ในครั้งต่อๆ มา หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ท่านก็สังคายนารวบรวมทำให้สะดวกในการศึกษา โดยแบ่งเป็น ๓ ปิฎก ๓ ส่วน ปิฏกะ จริงๆ หมายความถึงเป็นตะกร้าหรือที่รวมก็ได้ ที่รวมของพระธรรมวินัยมี ๓ ส่วน คือ ๑. พระวินัยปิฎก เป็นข้อประพฤติปฏิบัติเป็นส่วนใหญ่ของพระภิกษุ แต่มีธรรมอื่นด้วย ในพระวินัยปิฎกไม่ใช่ไม่มีธรรมเลย แต่ส่วนใหญ่เป็นข้อประพฤติปฏิบัติที่เหมาะควรของเพศบรรพชิต พระสุตตันตปิฎกก็เป็นการที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมกับใคร ที่ไหน ก็ต้องเป็นธรรมอีก พระพุทธเจ้าที่จะไม่ทรงแสดงธรรม ไม่มีเลย แต่ทรงแสดงกับใคร เรื่องอะไร แต่ละบุคคล วันนี้ทรงแสดงกับคนนี้ เรื่องนี้ วันต่อๆ ไปอาจจะแสดงกับบุคคลนั้น เรื่องนั้น เพราะฉะนั้น จึงมีมากมายหลายเรื่อง รวมเป็นพระสุตตันตปิฎก ซึ่งเรียกย่อๆ ว่า พระสูตร ส่วนปิฎกสุดท้าย คือ พระอภิธรรมปิฎก ไม่เอาชื่อเสียงอะไรเลยทั้งสิ้น พูดเรื่องธรรมล้วนๆ อย่างที่กำลังพูดถึงว่า ธรรมมี ๒ อย่าง ประเภทใหญ่ๆ ก็คือ นามธรรม และรูปธรรม ไม่ได้บอกว่า เป็นคนนั้นหรือคนนี้เลย แต่เป็นตัวธรรมล้วนๆ นี่คืออภิธรรมปิฎก

    เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ใครถามเรื่องพระไตรปิฎก ตอบได้เลยใช่ไหมคะว่าคืออะไร

    วันนี้เราเรียนเรื่องพระไตรปิฎก โดยเฉพาะปิฎกที่ ๓ คือพระอภิธรรมปิฎก ธรรม ตัวธรรม ซึ่งเปลี่ยนลักษณะไม่ได้ แต่เปลี่ยนชื่อได้ทุกอย่าง อย่างเสียง ภาษาไทยว่าอะไร ภาษาอังกฤษว่าอะไร ภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีนเรียกกันไปต่างๆ แต่ไม่มีใครเปลี่ยนลักษณะของเสียง ซึ่งสภาพธรรมที่ปรากฏเมื่อกระทบกับหู แต่ไม่ใช่หูทั้งหู ต้องเป็นส่วนพิเศษในหูที่สามารถกระทบเสียง และมีธาตุรู้ที่ได้ยินเสียง เพราะว่ารูปทั้งหมดไม่ใช่สภาพรู้ ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย

    มีใครสงสัยในเรื่องนามธรรม รูปธรรมบ้างไหมคะ ถ้าสงสัยก็ถามได้ค่ะ

    ผู้ฟัง มีสิ่งที่ไม่สามารถจัดอยู่ใน ๒ ประเภทนี้ได้ไหมคะ

    ท่านอาจารย์ มีค่ะ อย่างชื่อ ชื่อตี้ เป็นนามธรรมหรือเป็นรูปธรรม ไม่ได้แล้ว ถ้าเราพูดถึงปรมัตถธรรม เราหมายความถึงสิ่งที่มีจริง แต่ตี้ไม่มี แต่เรียกนี้ว่า ตี้ ให้รู้ว่า หมายความถึงคนนี้ เพราะฉะนั้น มีสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งถ้าไม่มีนามธรรม ไม่มีรูปธรรม ก็ไม่มีการเรียกอะไรหมดเลย จะไปเรียกอะไร เมื่อไม่มีอะไรจะให้เรียก แต่เมื่อมีธรรมแล้ว จำเป็นต้องเรียก ไม่เรียกจะรู้ได้อย่างไร และคำที่เราใช้เรียก ไม่ใช่ปรมัตถธรรม เป็นเพียงคำ ไม่ใช่สิ่งที่มีจริง เราเรียกคำนี้ว่า บัญญัติ หมายความว่า คำที่สมมติให้เข้าใจกันว่า หมายความถึงอะไร

    เพราะฉะนั้น ถ้าเราเข้าใจปรมัตถธรรมจริงๆ ว่า ปรมัตถธรรม หมายความถึงธรรม คือธาตุหรือสิ่งที่มีจริง ต้องมีจริงๆ มีจริงอย่างไร มีลักษณะเฉพาะของแต่ละอย่างให้รู้ว่า เป็นจริงอย่างนั้นๆ อย่างความโกรธเป็นลักษณะหนึ่ง ความไม่โกรธ มีไหมคะ มี ก็เป็นอีกลักษณะหนึ่ง

    เพราะฉะนั้น ความโกรธก็เป็นปรมัตถธรรม ความไม่โกรธก็เป็นปรมัตถธรรม แต่ถ้าไม่ใช้ชื่อ ๒ อย่างนี้ เราก็แยกไม่ออก บอกไม่ถูก ไม่รู้จะหมายความถึงอะไร เพราะฉะนั้น เมื่อมีปรมัตถธรรมแล้ว จึงมีบัญญัติ คือสมมติให้เข้าใจความหมายว่า คำนี้เราหมายความถึงอะไร เพราะฉะนั้น บัญญัติคือสิ่งที่ไม่มีจริงๆ แต่เพราะมีปรมัตถธรรมจึงมีบัญญัติเพื่อให้เข้าใจว่า เราหมายความถึงอะไร ถ้าเข้าใจปรมัตถธรรมแล้ว บัญญัติง่ายมาก ไม่ต้องไปสงสัยอะไรเลย อะไรก็ตามที่ไม่ใช่ปรมัตถธรรม เป็นบัญญัติทั้งหมด

    นาฬิกาเป็นปรมัตถธรรมหรือเป็นบัญญัติ เป็นบัญญัติ เพราะว่าไม่ใช่สี ไม่ใช่เสียง ไม่ใช่กลิ่น แต่เมื่อจะหมายความถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใด เราก็รู้ว่า เรากำลังหมายความถึงอะไร

    นี่ค่ะ ถ้าเข้าใจปรมัตถธรรม จะทราบว่า สิ่งที่มีจริงแยกออกอย่างใหญ่ๆ คือ นามธรรม และรูปธรรม แยกได้อีกๆ ๆ ๆ จนละเอียดขึ้นๆ ๆ ๆ แต่ว่าต้องไม่สับสน ความรู้ที่สำคัญที่สุดคือพื้นฐาน ถ้าพื้นฐานไม่มั่นคง เราจะไม่เข้าใจธรรมเลย แต่เราคิดว่าเราเข้าใจ เพียงอ่าน เราคิดว่าเรารู้ แต่ความจริงถ้าเราไม่รู้จักว่า เป็นธรรม ถ้าเราไม่รู้ว่า เป็นปรมัตถธรรม ถ้าเราไม่รู้ว่า เป็นอภิธรรม เราจะไม่เข้าใจทั้ง ๓ ปิฎกเลย แต่เมื่อเราเข้าใจปรมัตถธรรมแล้ว อะไรทั้งหมดที่ไม่ใช่ปรมัตถธรรม เป็นบัญญัติ เป็นสิ่งที่เราสมมติ เป็นภาษาต่างๆ สำหรับให้เข้าใจว่า หมายความถึงปรมัตถ์อะไร

    ทีนี้เมื่อกี้นี้ เราก็มาถึงรูปธรรมกับนามธรรม มีใครยังสงสัยเรื่องนามธรรมกับรูปธรรม

    น้ำแข็งเป็นปรมัตถ์หรือเป็นบัญญัติ

    ผู้ฟัง ชื่อก็เป็นบัญญัติ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีปรมัตถ์ จะมีบัญญัติไหมคะ

    ผู้ฟัง ก็ไม่มี

    ท่านอาจารย์ แต่ต่อไปจะรู้ว่า แม้ไม่มีปรมัตถ์ ก็มีบัญญัติได้ เช่น พระราชา เป็นปรมัตถ์หรือเป็นบัญญัติ

    ผู้ฟัง ถ้าเราเรียกสิ่งนั้นก็น่าจะเป็นบัญญัติ

    ท่านอาจารย์ เป็นบัญญัติ ปรมัตถ์ที่เป็นพระราชาไม่มีเลย ปรมัตถ์ก็คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เห็น ได้ยิน สี เสียง กลิ่น รส นี่เป็นปรมัตถ์ แต่พระราชาไม่ใช่ปรมัตถ์ เพราะฉะนั้น พระราชาเป็นบัญญัติซึ่งไม่มีปรมัตถ์

    ผู้ฟัง เมื่อกี้นี้ ตาเป็นปรมัตถ์เพราะว่า

    ท่านอาจารย์ มีจริงๆ อะไรที่มีจริงๆ ทั้งหมดเป็นปรมัตถ์ ไม่ใช่ตาทั้งหมด เพราะว่าคนตาบอดก็ยังมีตาทั้งหมด แต่ไม่มีจักขุปสาท เพราะฉะนั้น จักขุปสาทเล็ก และเป็นรูปพิเศษ ที่ตัวของเรา รูปนี้มีกรรมเป็นสมุฏฐานทำให้เกิดขึ้น เฉพาะตรงกลางตา จักขุปสาทจะไม่อยู่ตรงแขน ตรงขา จะไม่อยู่ตรงอื่นเลย แต่กรรมทำให้รูปนี้เกิดแล้วก็ดับๆ ตลอดเวลาจนกว่าจะมีรูป คือ สีสันวัณณะกระทบกับจักขุปสาทเมื่อไร เมื่อนั้นก็จะเป็นปัจจัยทำให้มีสภาพรู้หรือธาตุรู้คือจิตเกิดขึ้น แล้วก็กำลังเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้น ถ้าเอารูปของใครๆ ออกหมดเลย ตรงไหนที่มีเห็น ตรงนั้นก็คือนามธรรม ซึ่งต้องอาศัยจักขุปสาทตรงนั้น

    เพราะฉะนั้น เวลาที่จะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ ที่ไม่ใช่ตัวตน ต้องหมายความว่า ต้องไม่มีตัวตนรวมอยู่ที่นั่น ถ้ายังมีตัวตน คือเรายังจำว่าเป็นเรานั่งอยู่ที่นี่ และจะบอกว่าไม่ใช่เรา เป็นไปไม่ได้ นอกจากคิดเอาเองว่าไม่ใช่เรา แต่การประจักษ์แจ้งก็คือตรงนั้นต้องไม่มีอะไรอื่นทั้งสิ้น แต่มีปัญญาที่สมบูรณ์ที่จะรู้ว่า ขณะนั้นเป็นนามธาตุที่กำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏเท่านั้น เพราะฉะนั้น ตัวไม่มี มีแต่สภาพธรรมเฉพาะอย่างๆ ที่เป็นจริงแต่ละอย่างทีละ ๑ ขณะซึ่งเกิดดับสืบต่อกัน เพราะฉะนั้น ตัวตน รูปร่างก็หายไปหมด ไม่มี เมื่อไม่มีแล้วก็รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงรูปธรรมไม่ใช่นามธรรม นามธรรมก็เป็นเพียงสภาพรู้หรือธาตุรู้

    เพราะฉะนั้น จึงต้องแยกธรรมออกเป็น ๒ ฝ่ายเด็ดขาด คือ นามธรรมเป็นนามธรรม ไม่ใช่รูปธรรม รูปธรรมก็เป็นรูปธรรม ไม่ใช่นามธรรม

    ผู้ฟัง ที่เราเรียนเพื่อรู้แค่นี้ คือ จุดประสงค์ที่รู้ว่า นามธรรมหรือรูปธรรม เพื่อรู้ความจริง และความจริงนี้ความหมายจริงๆ คืออะไรคะ

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เรา อนัตตา ไม่มีเราเลยตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นธรรมทั้งหมด ในสังสารวัฏฏ์ทุกชาติเป็นธรรม

    ผู้ฟัง มีความคิดเป็นตัวเรา จะเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เป็นความเห็นผิด

    ผู้ฟัง ซึ่งจะก่อปัญหาเยอะแยะ

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะฉะนั้น การรู้แจ้งอริยสัจธรรมขั้นแรก ดับความเห็นผิด สักกายทิฏฐิ ไม่มีอีกเลยที่จะเห็นถูกว่าเป็นเรา เห็นถูกตามที่พระพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้ง ทรงตรัสรู้ ทรงแสดงให้คนที่อบรมเจริญปัญญาได้เห็นความจริงอย่างนั้นตามด้วย

    ผู้ฟัง ฉะนั้นที่ท่านอาจารย์กล่าวมาทั้งหมดที่ว่า

    ท่านอาจารย์ ธรรมมี ๒ อย่าง เวลานี้ไม่ใช่เรา มีธรรม ๒ อย่าง คือ นามธรรมกับรูปธรรม

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์กำลังจะบอกว่า ที่เด็กๆ คิดว่า กำลังมีพ่อแม่ ท่านอาจารย์กำลังแสดงธรรมอยู่ มีเสียงที่ได้ยินอยู่ตอนนี้ มาที่มูลนิธิ เป็นตัวเรา อย่างนั้นอย่างนี้เพราะความเห็นผิด

    ท่านอาจารย์ ตอนนี้บอกเด็กๆ ว่า เก็บเอาไว้ให้หมดเรื่องความคิดของตัวเอง กำลังฟังอะไร ให้เข้าใจสิ่งนั้น จะได้ไม่ก้าวก่าย ไม่สับสน และเราเริ่มจะเข้าใจ เวลาเข้าใจอย่างนี้เราคิดได้เลย ก่อนอื่นนามธรรมกับรูปธรรมต้องเข้าใจเด็ดขาด แยกกันโดยเด็ดขาด ไม่สับสน ไม่ว่าจะเคยคิดว่าเป็นอะไร ที่ไหน อย่างไรทั้งสิ้น ให้ทราบว่าเป็นนามธรรมหรือรูปธรรม นี่คือการบ้าน ถ้าสงสัย นี่คือการบ้าน

    ง่วง มีจริงๆ ไหม มีจริงๆ เป็นนามธรรมหรือรูปธรรม นามธรรม นี่คือการเข้าใจธรรม ไม่ใช่เรียนตามตัวหนังสือ ต้องไปท่องเลย แต่ขณะนี้มีธรรม และเรียนให้เข้าใจธรรมที่กำลังมีในขณะนี้ให้ถูกต้อง โดยเริ่มจาก เป็นธรรมทั้งหมด และเป็นนามธรรมหรือรูปธรรม

    จะต่อได้ไหมคะ หรือจะหยุดที่นามธรรมกับรูปธรรม

    อ.นิภัทร เมื่อกี้ท่านอาจารย์พูด ทุกคนคงจับประเด็นได้ว่า ธรรมคืออะไร ธรรมก็คือของจริง ที่มีอยู่จริงๆ ซึ่งมีลักษณะ ๒ อย่าง คือ เป็นรูปธรรม สภาพที่ไม่รู้อะไรเลย และที่เป็นนามธรรม หรือสภาพที่รู้ ของจริงที่มีอยู่จริงๆ เป็นรูปธรรม ลักษณะของรูปธรรมก็คือไม่รู้อะไรเลย ลักษณะของนามธรรมคือรู้ ก็มีอยู่แค่นี้เป็นหลักที่จะทำให้คิดได้เยอะๆ

    ท่านอาจารย์ มีใครงงไหมคะ ถ้างงก็ยกมือถามเลย

    ผู้ฟัง ที่ว่า พ่อแม่ไม่มี ที่เห็นเป็นพ่อแม่ จริงๆ คืออะไรคะ

    ท่านอาจารย์ เรามีไหมคะ เรามีหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ถ้าศึกษาแล้วจะบอกว่าไม่มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้าศึกษาแล้ว พ่อแม่ก็คือนามธรรม และรูปธรรม เป็นธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้น ตอนนี้เราผ่านพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก ซึ่งมีสมมติบัญญัติทั้งนั้นเลย มีพระพุทธเจ้า มีพระเจ้าสุทโธทนะ มีพระราชบิดา มีอะไรทั้งหมดมาสู่ปรมัตถธรรม คือ ธรรมล้วนๆ ซึ่งไม่กล่าวถึงชื่อ ไม่กล่าวถึงบุคคลเลย แต่กล่าวถึงความเป็นจริงที่มีว่า แท้ที่จริงแล้วสิ่งที่เราเคยคิดเคยเข้าใจว่า เป็นคน เป็นสัตว์ต่างๆ โดยแท้จริงเมื่อเอาชื่อเสียงเรียงนามออกหมดแล้วก็คือตัวธรรม ซึ่งเมื่อมีธรรมแล้ว เราก็เรียนให้เข้าใจธรรมจริงๆ แล้วถ้าจะเอาชื่อใส่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง คือ เป็นเรื่องสมมติบัญญัติ

    ผู้ฟัง เดี๋ยวจะกลายเป็นว่า พ่อแม่ไม่มี ไม่เป็นไร กลับไปจะพูดอย่างไรกับพ่อแม่ก็ได้ เพราะพ่อแม่ไม่มี

    ท่านอาจารย์ พ่อแม่ก็เป็นธรรม เราก็เป็นธรรม ทุกอย่างเป็นธรรม

    ผู้ฟัง จะบอกว่าอกุศลกรรมมีจริง คือกำลังจะโดนตี

    ท่านอาจารย์ อกุศลกรรมก็เป็นธรรม ทุกอย่างเป็นธรรม ถ้าใช้คำตอบว่า ทุกอย่างเป็นธรรม

    อ.นิภัทร คำว่าตัวว่าตน ว่าเรา ว่าเขา ว่าบุคคล ว่าคนโน้นคนนี้ไม่มี แต่ที่มีเป็นของจริง คือ ธรรม ปรมัตถธรรมคือของจริง ที่มีคือของจริง มี ๒ อย่าง อะไรบ้าง

    ผู้ฟัง รูปธรรมกับนามธรรม

    ผู้ฟัง ช่วยขยายอีกนิดได้ไหมว่า รูปธรรมคืออะไร และนามธรรมคืออะไร ต่างกันอย่างไร ไม่ได้ทดสอบ แต่อยากจะรู้ว่าเข้าใจแค่ไหน ถ้าไม่เข้าใจ จะได้ช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้เข้าใจ

    ผู้ฟัง รูปธรรมคือไม่รับรู้ นามธรรมคือรับรู้ได้

    ผู้ฟัง แล้วรูปธรรมที่วารับรู้ไม่ได้ มีอะไรบ้าง ยกตัวอย่างที่ว่าไม่รู้อะไรเลย

    ผู้ฟัง สิ่งของ เช่น โต๊ะ ไมโครโฟน เก้าอี้

    ผู้ฟัง แล้วในตัวเรามีไหมคะ

    ผู้ฟัง นาฬิกา เสื้อผ้า

    ผู้ฟัง แล้วในตัวเราที่ไม่รู้อะไรเลย

    ผู้ฟัง เส้นผม ตา หู เสียง

    ผู้ฟัง ทำไมถึงบอกว่า เสียงเป็นรูปธรรม

    อ.นิภัทร จำกัดความตายตัวให้ได้ เสียงรู้อะไรได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่รู้

    อ.นิภัทร ไม่รู้ก็เข้าเป็นรูปธรรม คำจำกัดความต้องให้แม่นยำ คือ เปลี่ยนแปลงไม่ได้

    ผู้ฟัง เราจะนำความรู้เรื่องรูปธรรมกับนามธรรมเอาไปใช้กับชีวิตประจำวันได้อย่างไร เราบอกจะไปแยกแยะอะไรได้บ้าง

    ท่านอาจารย์ ชีวิตประจำวันเป็นเราใช่ไหมคะ ถูกหรือผิด

    ผู้ฟัง เราคิดว่า เราเป็นเรา

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เราเกิดมามีความรู้เรื่องโลก เรื่องชีวิต เรื่องเราหรือเปล่า หรือเราไม่เคยรู้เลย มีแต่เราตลอดตั้งแต่เกิดจนตาย ซึ่งถูกหรือผิด

    ผู้ฟัง ช่วยขยายอีกนิด

    ท่านอาจารย์ คืออย่างนี้นะคะ เราเกิดมาก็มีความเป็นเรา ทุกวันตั้งแต่เกิดจนตาย ถูกหรือผิด ที่ว่าเป็นเราทุกวันตั้งแต่เกิดจนตาย ถูกหรือผิด

    ผู้ฟัง ผมคิดว่า เราไปคิดเอาเอง

    ท่านอาจารย์ นั่นซิคะ ความคิดอย่างนั้นถูกหรือผิด

    ผู้ฟัง ถ้าผมไม่เรียนธรรม ผมไม่รู้ว่าถูกหรือผิด

    ท่านอาจารย์ เมื่อเรียนแล้ว ถูกหรือผิด

    ผู้ฟัง ก็ยังไม่ทราบ เพราะผมยังเรียนไม่มาก

    ท่านอาจารย์ เราเรียนแล้วว่า ทุกอย่างที่มีจริง ของที่มีจริงเป็นธรรม แล้วก็เป็นอนัตตาด้วย ธรรมหมายถึงธาตุ ซึ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของ เราหลงยึดถือทั้งหมดว่าเป็นเรา แต่ไม่มีอะไรเหลือ ทุกวันๆ นี่เกิดแล้วก็หมดไปๆ ๆ ๆ ไม่มีอะไรเหลือ แล้วก็บังคับบัญชาไม่ได้ด้วย

    เพราะฉะนั้น ที่เราเคยคิดว่าเป็นเรา ยั่งยืน บังคับบัญชาได้ จะทำอะไรก็ได้ จะได้รับความสำเร็จอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นความเห็นถูกหรือเป็นความเห็นผิด

    ผู้ฟัง ผิดครับ

    ท่านอาจารย์ เมื่อเป็นความเห็นผิด เราก็จะเห็นประโยชน์ว่า เมื่อเราเกิดความเห็นถูกขึ้น หรือจะปล่อยให้มีความเห็นผิดต่อไป อยู่ที่เราค่ะ ในเมื่อเวลานี้เราเริ่มรู้แล้วว่า มีความเห็น ๒ อย่าง ความเห็นผิดกับความเห็นถูก และเรายังคงต้องการเห็นผิดต่อไปอีก หรือเราทำความเห็นถูกให้ถูกขึ้นเรื่อยๆ

    นี่คือประโยชน์ในชีวิตประจำวัน


    หมายเลข 1450
    25 ก.ค. 2567