พัวพันในโลก


    เป็นผู้ไม่พัวพันด้วยโลก ต้องเข้าใจก่อน ถ้าไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นเลย ไม่มีโลก แต่อะไรก็ตามที่ปรากฏขณะนี้เป็นโลกทั้งนั้น แต่ละโลก ซึ่งกิดดับสืบต่อเร็วมาก จนไม่รู้ว่า แท้ที่จริงแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นก็ดับไปแล้ว

    นี่คือความไม่รู้ ต้องรู้ว่า ไม่รู้ระดับไหน และที่จะไม่พัวพันในโลก เป็นได้ไหมถ้าไม่ใช่ปัญญา

    เพราะฉะนั้น การศึกษาพระธรรมตรง จริงใจ ละเอียดทุกคำ เช่น ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง และกล่าวว่า ทุกอย่างเป็นธรรม หรือเปลี่ยนเป็นคำว่า “โลก” คือสิ่งที่มีจริง ซึ่งเกิดปรากฏ ความหมายก็เหมือนกัน เพราะสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้น ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาหรือไปทำให้เกิดขึ้นได้เลย แต่ทุกอย่างเมื่อมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น นี่คือโลก และเป็นธรรม คือสิ่งที่มีจริงๆ ถ้าจะไม่พัวพันในโลก ก็ต้องรู้จักโลก และรู้ด้วยว่า เดี๋ยวนี้พัวพันหรือเปล่า แล้วจะไม่พัวพันเดี๋ยวนี้ได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้น ขณะนี้โลกคือสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ เห็น กำลังเห็น เป็นโลกแน่นอน สิ่งที่ปรากฏว่ามีจริงแน่นอน เมื่อเห็นเกิดขึ้น ก็รู้ว่า สิ่งนี้มีจริงก็เป็นโลก แล้วจะไม่พัวพันจนถึงดับ เป็นไปไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น จะไม่พัวพันต่อเมื่อรู้ว่า โลกก็คือโลก คือ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับอยู่ตลอดเวลา บังคับไม่ให้เกิดไม่ได้เลย จิตเกิดดับตั้งแต่เกิดจนถึงขณะนี้ ตั้งแต่เช้าจนถึงเดี๋ยวนี้ ใครหยุดจิตไม่ให้เกิดได้ ใครหยุดโลกได้ เมื่อมีปัจจัยโลกก็ต้องเกิด แต่ไม่พัวพันด้วยความเห็นถูก ด้วยความเข้าใจถูกว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เราจะไม่ไปติดข้องในโลก ไม่พัวพันในโลก แต่เพราะเหตุว่าไม่มีเรา มีแต่สภาพธรรมซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะฟังพระธรรมนานเท่าไร ตั้งแต่เล็กแต่น้อยจนกระทั่งถึงเมื่อวานนี้ เมื่อก่อนนี้ แล้วจะฟังต่อไป ก็คือเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ แล้วชาติก่อนๆ ที่เคยฟังมาแล้วก็เหมือนชาตินี้ ก็คือเพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ จะจากโลกนี้ไปช้าหรือเร็วก็ตามแต่ ก็มีสิ่งที่เกิดขึ้นปรากฏ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย จากการที่เคยได้ยินได้ฟังก็รู้ว่า เป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง เพราะฉะนั้น ก็สามารถเข้าใจพระพุทธพจน์ที่ทรงแสดงไว้เพิ่มขึ้น

    เพราะฉะนั้น ความไม่รู้ในแต่ละหนึ่ง มากแค่ไหน ตั้งแต่เช้ามา ไม่รู้เลยว่า แต่ละหนึ่งแม้เมื่อกี้นี้ก็แต่ละหนึ่ง เห็นก็อย่างหนึ่ง สิ่งที่ถูกเห็นก็หนึ่ง ดับไปแล้ว เกิดเห็นแล้ว สิ่งที่ถูกเห็นก็อีกหนึ่งที่ดับไปแล้ว

    เพราะฉะนั้น ความลึกซึ้งของพระธรรม การทรงตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่ได้ศึกษาโดยละเอียดจริงๆ จะไม่รู้จักพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณที่ทำให้จากไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจอะไรเลย ถ้าเริ่มเข้าใจถูกต้องแม้เพียงหนึ่ง คุณค่ามหาศาลจากการที่ไม่เคยรู้จักโลกมาก่อน และอยู่ในโลกแต่ละโลกมานานแสนนาน

    เพราะฉะนั้น ศึกษาธรรมไม่ใช่รีบร้อนที่จะไปประพฤติปฏิบัติตาม โดยไม่เข้าใจอะไรเลย แต่ทั้งหมดทุกคำเพื่อเข้าใจ และเมื่อเข้าใจแล้วก็จะค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ตามขั้น กำลังของปัญญา

    พัวพันด้วยความไม่รู้นี่แน่นอน ก็ไม่รู้ตลอด แล้วไม่รู้แล้วยังติดข้อง ก็พัวพันด้วยความติดข้อง และการเกิดดับสืบต่อ จะเข้าใจความหมายของจิตว่า เหมือนมายากล เพราะว่าโลกเป็นไปตามอำนาจของจิต ถ้าไม่มีจิต ไม่มีอะไรปรากฏเลย ไม่เดือดร้อนเลย แต่เมื่อมีคำที่เราใช้ง่ายๆ ธรรมดาๆ เหมือนกับเข้าใจแล้วว่า มีจิต ซึ่งเป็นธาตุรู้ ซึ่งเป็นสภาพรู้ แล้วไม่ว่าขณะใดที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ พอเกิดมาก็มีสิ่งที่ปรากฏแล้วแน่นอน เพราะเหตุว่ามีธาตุรู้ แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไร ถูกต้องไหมคะ กำลังเห็น ก็มีเห็น แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไร แม้แต่สิ่งที่ถูกเห็น หรือธาตุที่กำลังเห็น

    เพราะฉะนั้น จากการที่ได้เข้าใจพระธรรม ก็จะส่องให้เห็นความจริงว่า พัวพันด้วยความไม่รู้ทุกขณะจิตที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏ เพื่อจะได้ไม่ประมาท แล้วก็รู้ว่า อกุศลมากอย่างนี้ ไม่มีใครที่จะไม่พัวพัน โดยไม่มีปัญญา เพราะเหตุว่าพัวพันเพราะไม่รู้

    เพราะฉะนั้น ไม่พัวพันได้ก็ต่อเมื่อรู้ และการรู้นี้ก็ไม่ง่ายเลย ฟังแล้วฟังอีก ไม่ว่าจะทั้งหมดของพระสูตรที่กล่าวถึง หรือข้อความเพียงแคประโยคเดียว หรือเพียงแค่คำเดียว ก็จะทำให้รู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่า เดี๋ยวนี้โลกปรากฏ แต่รู้จักโลกที่ปรากฏหรือยัง


    หมายเลข 9684
    19 ก.พ. 2567