สภาพธรรมเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็ว


    ผู้ฟัง บางครั้งแทบแยกไม่ออกถ้าไม่ได้ศึกษาหรือพิจารณาจริงๆ ว่า เราคิดว่าเป็นโทสะ แต่จริงๆ เราคิด ไม่ใช่ว่าสติระลึกได้ พอมาพิจารณาย้อนหลังกลับไป มันน่าจะเป็นโลภะ

    ท่านอาจารย์ เหมือนเห็นกับได้ยินใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้าจะมีความสงสัยในเรื่องสภาพธรรมซึ่งเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็ว แยกยาก เพราะเหตุว่า จิต เจตสิกเกิดดับเร็วมาก เพราะการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วจึงเสมือนพร้อมกัน เช่นเห็นกับได้ยิน เพราะฉะนั้น ก็ไม่ต้องคิดถึงเรื่องอื่นเลย อย่างอื่นก็เช่นเดียวกัน เหมือนกับมีโลภะ โทสะเกิดร่วมกันได้ แต่ความจริงไม่ได้ หรือว่าจะคิดว่าเวลาที่มีความสำคัญตนเกิดขึ้น ขณะนั้นไม่สบาย ใช่ไหม แต่ว่าคนละขณะแล้ว ขณะที่ไม่สบายเป็นโทสะ แต่ขณะที่มีความสำคัญตน ขณะนั้นไม่รู้เลยว่ามีโลภะความติดข้องในความเป็นเราที่ขณะนั้นมานะเกิดร่วมด้วย นี่เป็นสิ่งที่ต้องศึกษา มีความเข้าใจในพระธรรมที่ทรงแสดงไว้อย่างละเอียด ซึ่งสภาพธรรมที่ปรากฏ แม้กำลังปรากฏในขณะนี้ก็รวดเร็วสืบต่อเหมือนพร้อมกันจนกว่าสติสัมปชัญญะจะเกิด แล้วก็จะรู้ตรงลักษณะเพียงลักษณะเดียว เช่นเมื่อสักครู่นี้คุณสุรีย์บอกว่าลักษณะของกุกกุจจะปรากฏ โทสะไม่ได้ปรากฏเลย ลักษณะใดที่ปรากฏ ลักษณะนั้นก็ปรากฏตามความเป็นจริง เราจะไปเปลี่ยนแปลงธรรมไม่ได้เลย แต่ว่าสามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจถูกต้องขึ้น

    ผู้ฟัง แต่จากการศึกษาไม่ทราบว่าจะพอมีประโยชน์ไหมถ้าเราคิดย้อน กลับไป

    ท่านอาจารย์ ในครั้งพุทธกาลไม่มีใครสักคนที่ไปกราบทูลถามว่านี่เป็นโลภะหรือเปล่า นี่เป็นโทสะหรือเปล่า นั่นเป็นยังไง นี่เป็นยังไง แต่ทรงแสดงพระธรรมเพื่อให้คนฟังเกิดเป็นปัญญาของตนเอง แต่ไม่ใช่ไปทูลถามเพื่อให้ตรัสบอกโดยที่ว่าไม่ทำให้คนๆ นั้นเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง จะไม่มีประโยชน์เลย ถ้าใครเพียงจะตอบ แล้วเราก็ไปตามแนวความคิดของคนอื่น แต่ว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง เริ่มพิจารณาทุกคำในความหมายที่เป็นความจริงหรือเปล่า ถ้าเป็นความจริงแล้วเรามีความเข้าใจในความจริง ขณะนั้นก็ไม่ใช่เรา เป็นความเห็นถูกตามความเป็นจริง ขณะนั้นก็เป็นปัญญา

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตซึ่งจะติดตามไปได้ที่มีประโยชน์สูงสุดคือปัญญา ความเห็นถูกความเข้าใจถูก เพราะว่าตั้งแต่เกิดมาอาจจะมีทรัพย์สมบัติ มีรูปสมบัติ มียศ มีบริวาร มีทุกอย่าง แต่ไม่มีปัญญา เพราะฉะนั้นทรัพย์สมบัติตามไปได้ไหม รูปสมบัติก็ตามไปไม่ได้ บริวารสมบัติ ทุกอย่างอื่นก็ตามไปไม่ได้ แต่ปัญญาสามารถที่จะสะสมสืบต่อในจิตที่จะทำให้มีโอกาสได้ยินได้ฟัง และก็เกิดความเห็นถูกขึ้นได้ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่การที่เราจะพยายามรับฟังว่าใช่ ไม่ใช่ หรือว่าเป็นอะไร แต่ว่าที่ได้ฟัง พิจารณาว่าถูกต้องไหม

    เช่น สภาพธรรมซึ่งเราอาจจะคิดว่าเกิดดับด้วยกันได้ เช่นโลภะกับโทสะ หรือว่ามานะกับโทสะ แต่ความจริงเป็นไปไม่ได้เลย เหมือนเห็นกับได้ยินขณะนี้ ถ้าไม่รู้ก็จะบอกว่าพร้อมกัน แต่ถ้ารู้ก็จะบอกว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเกิดพร้อมกัน

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 149


    หมายเลข 9668
    26 ม.ค. 2567