ศิวิไลที่แท้จริง


    ใช้คำว่า “ศิวิไล” จะเป็นภาษาอะไรก็ตามแต่ แต่ภาษาไทยก็พูดว่า ศิวิไล แสดงว่าเจริญ ความจริงในยุคนี้ เป็นความเจริญจริงๆ อย่างไรหรือเปล่า ดูเหมือนว่าเจริญมาก ถ้าเทียบกับยุคก่อนๆ ถ้าท่านคิดว่า สมัยนี้วัตถุศิวิไลมาก เจริญมาก ต่างกับสมัยก่อน ท่านไม่ได้คิดถึงเรื่องจิตใจเลย

    เพราะฉะนั้น ความเจริญจริงๆ ที่ประเสริฐกว่าความเจริญทั้งสิ้น คือ อริยะ จะใช้คำว่า ศิวิไล หรืออริยสัจจะก็ได้ เพราะเป็นความเจริญที่ประเสริฐสุด ไม่มีความเจริญอื่นใดจะเทียบได้เลย

    เพราะฉะนั้น ชาวโลกยุคนี้คิดถึงแต่วัตถุว่าศิวิไล พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ศิวิไลหรือเปล่า ก็จะเห็นว่า ต้องละเอียดจริงๆ แม้แต่คำที่ใช้ ความเจริญหรือศิวิไลทั้งหลาย อะไรเป็นศิวิไลที่แท้จริง ที่ประเสริฐกว่าความเจริญอื่น

    ทุกวันนี้ โลภะเจริญไหม ศิวิไลไหม โทสะเจริญไหม ศิวิไลไหม เห็นไหมคะ ชาวโลกไม่รู้ความจริงเลย คิดด้วยความไม่รู้ จริงๆ แล้วไม่มีใครสามารถรู้ความจริงซึ่งเป็นอริยะที่ประเสริฐสุดได้ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมจากผู้ที่เมื่อท่านถามแล้ว ตอบได้ ท่านก็ตอบว่า ผู้ที่ศิวิไลคนแรกคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คือผู้ที่ศิวิไลอย่างแท้จริง ถ้าไม่ศึกษาธรรมเลย คิดว่าเขาเข้าใจ คิดว่ามีปัญญา คิดว่ามีความสามารถ คิดว่ามีความเจริญ แต่จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อมีสิ่งที่กำลังปรากฏแล้วไม่รู้ ไปรู้อื่น ซึ่งขณะนี้มีจิต รู้จิตหรือยัง แล้วจิตของแต่ละคนเป็นอย่างไร เริ่มรู้เงาๆ หรือยัง ดีชั่วแค่ไหน คนอื่นบอกไม่ได้เลย หลงคิดว่าดี แต่ไม่ดีจริง เพราะเหตุว่ายังไม่รู้ความจริง ดีเท่าไรก็ไม่บริสุทธิ์ เพราะยังเป็นเรา ยังเป็นความติดข้อง

    เพราะฉะนั้น การฟังธรรมแต่ละครั้ง ไม่ใช่เพื่อหวัง ไม่ใช่เพื่อติดข้อง แต่เพื่อละ ดีไหมคะ ละต้องดีกว่าแน่นอน ดีกว่าติด ถ้าละแล้วไม่เดือดร้อนเลยสักอย่างเดียว อาหารไม่อร่อย เดือดร้อนไหมคะ ละแล้ว แต่ถ้าไม่ละ ก็เดือดร้อนแน่ๆ แต่ไม่ใช่ละเพราะคิดให้ละ แต่ต้องละจริงๆ ด้วยความเห็นถูกความเข้าใจถูกในความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้น ละก่อนอื่น ไม่ใช่ละโลภะในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในการสัมผัสสิ่งที่น่าพอใจ เย็นสบายดี อุ่นสบายดี แต่ต้องละความเห็นผิดที่ทำให้หลงเข้าใจผิดว่า มีเรา หรือสิ่งที่มีนั้นเป็นเรา ซึ่งจะเป็นเราได้อย่างไร เห็นเกิดแล้วก็ดับไป แล้วเราก็ดับไป ไม่มีสักขณะเดียว แล้วจะว่าเป็นเราได้อย่างไร ทั้งๆ ที่เป็นเห็น เกิดขึ้นแล้วดับ ได้ยินเกิดขึ้นแล้วดับ โกรธเกิดขึ้นแล้วดับ ติดข้องเกิดขึ้นแล้วดับ ทุกอย่างมีอะไรที่เกิดแล้วไม่ดับบ้าง แล้วจะเป็นเราได้อย่างไร แค่นี้ก็ยังไม่รู้ แล้วก็ยังคงไม่รู้ต่อไปอีก ถ้าไม่เห็นประโยชน์ของการฟังพระธรรม และรู้ความจริง ซึ่งจะรู้ได้ทางเดียว คือ การฟังพระธรรมซึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว


    หมายเลข 9620
    19 ก.พ. 2567