เผชิญหน้าแต่ไม่รู้


    ธรรมไม่ขาดเลย ล้อมรอบ อยู่กับธรรมตั้งแต่เกิดจนตาย แล้วก็เกิดอีก ตายอีก ก็เป็นธรรมทั้งหมด เผชิญหน้ากับธรรม เหมือนเห็นดอกไม้สวยๆ แต่ความจริงมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ก็ไม่รู้ว่า ขณะนี้ก็เป็นแต่เพียงสิ่งหนึ่งซึ่งจะปรากฏได้ต่อเมื่อสิ่งนี้กระทบจักขุปสาท แล้วกรรมทำให้จิตเห็นเกิดขึ้น ไม่รู้เลย เห็นไหมว่า เห็นมาตั้งเท่าไรแล้วตั้งแต่เช้าก็ไม่รู้ความจริงของเห็น

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่เคยเข้าใจว่า เป็นสาระมากมาย เพราะเหตุว่าไม่รู้ เพราะฉะนั้น แทนที่จะสนใจมากมายในสิ่งที่ปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นเรื่องราวต่างๆ ไม่คิดถึงจิตหรือคะ ธาตุรู้ซึ่งเป็นธาตุชนิดหนึ่ง เป็นธรรมที่มีจริงๆ ซึ่งไม่ใช่ของใคร แต่ก็เกิดสืบต่อแต่ละหนึ่งๆ ขอยืมกันไม่ได้ แลกกันไม่ได้ แต่ละหนึ่งก็คือสภาพธรรมที่เป็นธาตุรู้เกิดขึ้น เคยคิดไหมว่า ธาตุรู้ในขณะนี้เป็นอย่างไร มองไม่เห็นเลย ไม่มีอะไรทำให้รู้ว่า มีขอบเขต เป็นสีแดง หรือเสียงเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้เลย เป็นใหญ่เป็นประธานในการสามารถเกิดขึ้นในความมืดแล้วก็รู้ ขณะได้ยินเสียง ไม่ได้สว่างเลย ธาตุรู้ก็มืด เสียงก็ไม่ปรากฏให้เห็นทางตา แต่ธาตุรู้ก็สามารถได้ยินเสียงในความมืดแล้วก็ดับไป

    อยู่ในโลกมืด ๒ อย่าง มืด ไม่ปรากฏให้เห็น กับมืดด้วยอวิชชา เพราะฉะนั้น ปรากฏให้เห็นแค่ทวารเดียว คือทางตา แต่ทางอื่นก็มืดหมด ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพราะฉะนั้น อยู่ในความมืดของอวิชชามากกว่าความมืดในขณะที่มองไม่เห็นหรือเปล่า

    นี่ไม่เคยรู้เลยว่า สภาพของจิตแต่ละคน หนัก หรือมากมายล้นจักรวาล กี่จักรวาลก็บรรจุกิเลสไม่ได้เลย แล้วนี่อยู่ที่ไหน มีทางเดียวที่จะพ้นจากภาวะของความมืดด้วยความไม่รู้ ด้วยการเริ่มเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ จนกว่าอวิชชานั้นจะหมดไป

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ใครฟังธรรมแล้วจะไปปฏิบัติ เป็นพระโสดาบัน หรือหวังในสิ่งที่ไม่ใช่ความจริง เพราะเหตุว่าไม่ใช่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงตรัสรู้

    เพราะฉะนั้น ไม่ว่าฟังอะไรก็ต้องเข้าใจความจริงว่า ขณะนั้นแม้แต่ความเข้าใจก็เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ไม่ใช่จิต จิตเป็นธาตุที่ไม่มีรูปร่างเลย เกิดขึ้นรู้แล้วก็ดับไป แต่ก็มีสภาพธรรมที่เป็นเจตสิกเกิดร่วมด้วย ทั้งฝ่ายดี และฝ่ายไม่ดี แล้วในวันหนึ่งๆ ฝ่ายไม่ดีเกิดมากกว่า โดยไม่รู้ตัวเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น แต่ละคนก็สะสมหมักหมมความไม่ดีมากมาย เพราะฉะนั้น ก็คงสะสมต่อไปอีก ถ้าไม่รู้ความจริง

    ประโยชน์ที่สุด คือทำดี และเข้าใจพระธรรม เพราะเหตุว่าระหว่างดีกับชั่ว ตื้นๆ ธรรมดา ทุกคนต้องรู้ว่า ดีต้องดีกว่า แต่ทำไมไม่ได้ทำ เพราะว่าเข้าใจไม่พอ เพราะฉะนั้น ก็ศึกษาธรรมเพื่อเป็นผู้ฟังพระธรรม เป็นสาวกที่ฟัง และทำให้ชีวิตดำเนินไปในทางขัดเกลากิเลส และได้ชื่อว่า เป็นสาวก คือผู้ฟังพระธรรมจริงๆ ไม่ใช่เพียงฟังเรื่องราว แต่ก็เหมือนเดิม


    หมายเลข 9650
    19 ก.พ. 2567