หยดของความดี


    ธรรมรัตนะคือคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สอนให้รู้ว่า เราไม่ดี ดีไหมคะ หรืออยากจะได้ยินว่า เราดีมาก อย่างนั้นอย่างนี้ แต่ตามความเป็นจริงถ้าใครบอกอย่างนั้น เขารู้ความจริงหรือเปล่า เพราะความไม่ดีเริ่มตั้งแต่การไม่สามารถเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ เป็นเหตุให้เกิดการยึดมั่น ติดข้อง แล้วเป็นเหตุให้กระทำสิ่งต่างๆ ด้วยความยึดมั่น ติดข้อง เพราะความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏแล้วยึดถือว่าเป็นเรา ไม่มีอะไรสำคัญเท่า ใครสำคัญกว่าเรา ลองคิดดูซิคะ ไม่มีเลย ตัวเองเป็นที่ตั้งของการให้ชีวิตดำเนินไปในทางที่แล้วแต่จะเข้าใจความจริง หรือไม่เข้าใจความจริง อย่างที่ผ่านมาแล้วในอดีตกาลนานแสนนาน ไม่มีใครสามารถรู้ชาติก่อนได้เลย เคยเกิดเป็นใคร ที่ไหน แต่ชาตินี้รู้ เกิดเป็นอย่างนี้ ใครก็ทำให้เกิดไม่ได้เลย นอกจากทำเอง เป็นอย่างนี้เพราะทำเอง เกิดมาเป็นอย่างนี้ ทำเองให้เป็นอย่างนี้ ให้เป็นคนนี้ ให้คิดอย่างนี้ ให้ทำอย่างนี้

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้ว อย่าผ่านไปโดยไม่เคารพในพระมหากรุณาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงธรรมให้เรารู้ความจริง แล้วความจริงที่ควรรู้ยิ่งก็คือ ยังไม่รู้สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ แต่สามารถรู้ได้ และประโยชน์ของการรู้ยิ่งก็คือว่า สามารถละสิ่งที่ไม่ดีที่สะสมมานานแสนนานในจิตของแต่ละคนได้

    เพราะฉะนั้น เริ่มรู้ว่า จิตที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา ความเห็นถูกต้องเป็นจิตที่ไม่ดี และมาก และนานด้วย ไม่มีที่จะบรรจุได้เลย เพราะเหตุว่าไม่สามารถนับขณะจิตได้ตั้งแต่แสนโกฏิกัปป์มาจนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้

    เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ได้ฟังหรือแม้ความดีที่เกิดขึ้น ทรงอุปมาเหมือนหยดน้ำทีละหยด เทียบกับวันนี้ทั้งวันตั้งแต่เช้ามาเป็นอกุศลมากเท่าไร แล้วก็มีหยดน้ำสักกี่หยด ตื่นขึ้นมารับประทานอาหารมีหยดน้ำ หรือเต็มไปด้วยอกุศล แต่หยดน้ำของคุณความดีแม้น้อย แต่เป็นสิ่งที่มีค่ามหาศาล ทีละหยดๆ ด้วยความอดทน ขันติบารมี ด้วยสัจจะ ความจริงใจที่มั่นคงว่า สิ่งที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงสามารถรู้ได้แน่นอน ความจริงขณะนี้ก็ปรากฏ เห็นไม่ใช่ได้ยิน เห็นไม่สามารถได้ยินได้เลย เพราะเห็นสามารถมีสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็น ส่วนได้ยินก็ไม่สามารถจะเห็นอะไรได้ในขณะที่ได้ยิน มีแต่เสียง และธาตุที่กำลังได้ยินเสียง แต่พร้อมกันไม่ได้เลย เพราะความจริงของจิตก็คือว่า ธาตุรู้ซึ่งเป็นใหญ่ เป็นประธานในการเกิดขึ้น แล้วรู้สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ นี่คือจิตที่กำลังเห็น กำลังรู้สิ่งที่ปรากฏ และเดี๋ยวนี้จิตก็กำลังได้ยินเสียง เพราะฉะนั้น จิตเป็นธาตุที่เกิดแล้วดับทีละ ๑ ขณะ ทันทีที่จิตดับก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันที ใครรู้บ้าง นี่คือสัจจะ วาจาจริง ที่จะนำไปสู่การรู้ความจริงที่ประเสริฐยิ่ง ที่มีอยู่ทุกขณะในขณะนี้

    เพราะฉะนั้น ต้องอดทนจริงๆ ในการฟัง และพิสูจน์ว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังจริงหรือเปล่า สิ่งที่เป็นจริงมีประโยชน์ไหม หรือยังคงไม่รู้ดีกว่า จะไปเสียเวลารู้ทำไม แต่ว่าความจริงเกิดมาไม่พ้นต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ก่อนนั้นก็คือเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น คิดนึกตลอด ไม่มีใครยับยั้งหยุดยั้งการเกิดขึ้นเป็นไปของจิตได้เลย

    เพราะฉะนั้น ก็ลองย้อนไปตั้งแต่เกิดมา อกุศลมาก หรือกุศลมาก ถ้าเป็นอกุศลมากในอดีต ก็ถึงเวลาหรือยังที่จะเป็นกุศลมากๆ เท่าที่จะเป็นไปได้ ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ขณะนี้สิ่งที่มีจริงเกิดดับ ไม่ใช่เรา ก่อนคิดที่จะละโลภะ โทสะ โมหะ ริษยา หรือมานะ ความสำคัญตนใดๆ ไม่มีทางเป็นไปได้เลย ตราบใดที่ยังเป็นเรา


    หมายเลข 9619
    19 ก.พ. 2567