สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑


    ถาม   เราเคยได้ยินคำว่าธรรมมาตลอด แต่ไม่ทราบความเข้าใจอย่างแท้จริงว่า ธรรมคืออะไรครับ

    ส.   “ธรรม” จริงๆแล้วภาษาไทยเราใช้มาก แต่ว่ามาจากคำภาษาบาลี  ส่วนใหญ่ของภาษาไทย เราใช้คำจากภาษาบาลี อย่างคำว่าทุกข์ ไม่ใช่ภาษาไทย ภาษาบาลีเป็น ทุกขะ สุข ภาษาบาลีก็เป็น สุข  จิต ภาษาบาลีก็เป็น จิ ตะ เพราะฉะนั้น ส่วนใหญ่เราเอาคำภาษาบาลีมาใช้ แต่เราไม่ได้เอาความหมายที่ถูกต้อง หรือว่าที่ละเอียดมาด้วย

    เพราะฉะนั้น เวลาที่เราจะศึกษาพระธรรม เราต้องทราบว่า เราไม่ได้ศึกษาธรรมของคนธรรมดา แต่ว่าศึกษาจากผู้ที่ได้รับการอบรมบารมีถึง ๔ อสงไขยแสนกัป เป็นผู้ที่ยิ่งด้วยปัญญา ถ้าเป็นผู้ที่ยิ่งด้วยศรัทธา ถึง ๘ อสงไขยแสนกัป ถ้ายิ่งด้วยวิริยะ ถึง ๑๖ อสงไขยแสนกัป เพราะฉะนั้น พระธรรมที่เราจะได้ยินได้ฟังหรือศึกษาต่อไป จากพระไตรปิฎกไม่ได้มาจากการคิด หรือว่าการวิเคราะห์ หรือว่าการพยายามที่จะค้นหาคำตอบ แต่เป็นการที่ตรัสรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ซึ่งทุกคนพิสูจน์ได้

    เพราะฉะนั้น คำสอนใช้คำว่า “ธรรม” ไม่ได้กล่าวถึงคน ถึงสัตว์ ถึงวัตถุใดๆ แต่ใช้คำว่าธรรม ซึ่งหมายความว่าเป็นสิ่งที่มีจริงๆ สิ่งนั้นมีจริงๆ แต่ว่าเราไม่เคยรู้ความจริงของสิ่งนั้น จนกว่าจะมีการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า  

    เพราะฉะนั้น ถ้าถามว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้สภาพธรรมในขณะนี้ที่เราเคยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเรา แต่โดยการตรัสรู้ก็ทรงทราบว่า เป็นสภาพธรรมที่มีจริงแต่ละอย่าง อย่างเห็น กำลังมีจริงแน่นอน ธรรมหมายความถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง การตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เรื่องสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น แม้แต่เพียงเรื่องเห็นเรื่องเดียว เราอาจจะคิดว่า ทำไมต้องเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสรู้ความจริงของเห็นในขณะนี้ ทำไมต้องให้พระองค์สอน ดูเป็นของที่ทุกคนมีตั้งแต่เกิด ธรรมดาที่สุด แต่ว่าสุขทุกข์ของเราทั้งหมด ทุกคนตลอดชีวิต เพราะเห็น เพราะได้ยิน เพราะได้กลิ่น เพราะลิ้มรส เพราะรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส หมายความว่าเพราะมีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจ  ถ้าไม่มีตาเห็น คงจะไม่มีใครเดือดร้อน ไม่ต้องเดือดร้อน ไม่เห็นอะไร ไม่มีหูได้ยินคำชม คำสรรเสริญ  หรือคำติเตียนก็ไม่เดือดร้อน ถ้าไม่มีจมูก บางคนจมูกเสีย เขาเกิดโรคบางอย่างซึ่งพอสูงอายุขึ้นเขาไม่ได้กลิ่นอะไรเลย เขาก็สบายไปอย่าง กลิ่นขยะก็ไม่ได้ กลิ่นหอมก็ไม่ได้  แต่บางคนได้แต่กลิ่นหอม กลิ่นเหม็นไม่ได้ นี่ก็เป็นเรื่องที่เป็นชีวิตจริงๆ ของเรา แล้วที่เราคิดว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นโลก แท้ที่จริงก็คือ ธรรมแต่ละ ๑ อย่าง

    ใช้คำว่า ๑ อย่าง เพราะธรรมปะปนกันไม่ได้เลย อย่างเห็นจะไม่ใช่ได้ยิน จะไม่ใช่คิดนึก เห็นเพียงเห็นเท่านั้น เพราะฉะนั้น การตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้สภาพธรรมที่มีจริงๆ ไม่ใช่แต่เฉพาะในโลกนี้ ถ้าเราจะคิดถึงโลกอื่น ดาวอื่นซึ่งแสนไกล ที่เรามองเห็นเป็นพระอาทิตย์ พระจันทร์  ก็เป็นสภาพธรรม

    เพราะฉะนั้น สภาพธรรมทั้งหมดในจักรวาล หรือใครจะไปค้นหาที่ไหนอีกก็ตามแต่ ก็จะมีลักษณะ ๒ อย่างที่ต่างกัน เป็นสภาพที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้นอย่างหนึ่ง ซึ่งคนไทยยุคนี้ชอบใช้คำว่า “รูปธรรม” ใช้กันเอง พอจะเริ่มทำอะไรสักอย่างก็ ยังไม่เป็นรูปธรรม คือ เอาคำภาษาบาลีมาใช้ แต่ความหมายจริงๆของรูปธรรม หมายความถึง สิ่งที่มีจริงนั้นไม่สามารถจะรู้อะไรได้  ถ้าเราศึกษาธรรมเราจะต้องเข้าใจเป็นขั้นๆ ตั้งแต่ต้น คำใดที่ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎก คำนั้นไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น เพราะว่าจากการตรัสรู้จริงๆ  อย่างคำว่า รูปธรรม หมายความถึงสิ่งที่มีจริง แล้วก็ไม่สามารถจะรู้อะไรได้  ถ้าเราเข้าใจแค่นี้ เราสามารถจะศึกษาต่อไปได้ และความเข้าใจของเราก็จะชัดเจนขึ้น แต่ต้องเป็นผู้ที่ตรง ถ้ารูปธรรมหมายความถึงสิ่งที่มีจริง แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ ขณะนี้บอกได้ไหมคะว่า อะไรเป็นรูปธรรม คือ การศึกษาพระธรรมสำหรับคิด สำหรับพิจารณา เพื่อเป็นปัญญาของตัวเอง ไม่ใช่เพียงแต่รับฟังคนอื่น แล้วก็ไม่คิดเลย แล้วก็ตามคนอื่นตลอดเวลา แต่เวลาที่อ่านพระไตรปิฎก เวลาที่มีคนไปเฝ้า เขาไปทูลถามปัญหา พระพุทธเจ้าตรัสถามเขา เพื่อที่จะให้เขาตอบ ซึ่งเป็นการคิดของเขาเอง การพิจาณาของเขาเอง การเข้าใจของเขาเองว่า เขาเข้าใจสิ่งซึ่งทรงแสดงมากน้อยแค่ไหน

    เพราะฉะนั้น ในพระไตรปิฎกจะมีการที่พระพุทธเจ้าตรัสถามคนที่ไปเฝ้า คนนั้นก็ตอบ แล้วก็ถามอีก ให้คนนั้นพิจารณาอีก แล้วก็ให้คนนั้นตอบอีกเสมอ คนนั้นต้องตอบด้วย ไม่มีใครที่พระพุทธเจ้าถามแล้วไม่ตอบ นอกจากคนที่ยังตอบไม่ได้ แต่ในที่สุดก็ต้องตอบ แล้วก็คนที่ตอบพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีข้อความว่า จะไม่มีใครที่จะ พูดสิ่งที่ไม่จริงกับพระองค์  ถ้าความจริงหรือความคิดเขาเป็นอย่างไร เขาตอบตามความจริงความคิดของเขาในขณะนั้น

    นี่เป็นสิ่งพิเศษ ซึ่งถ้าเราไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คนที่จะพูดกับเราพูดไม่จริงได้ แต่อยู่เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคที่จะกราบทูลสิ่งที่ไม่จริงนั้นเป็นไปไม่ได้เลย แม้แต่พวกเดียรถีย์ หรือว่าพวกที่นับถือศาสนาอื่น เพราะเหตุว่าธรรมเป็นสัจจะ เป็นสิ่งที่จริง ไม่ใช่ของใคร ใครก็สร้างขึ้นไม่ได้ ใครก็ทำขึ้นไม่ได้ อย่างเวลาที่โกรธขุ่นเคืองใจ จะไม่ให้โกรธ เป็นไปได้อย่างไร  ในเมื่อโกรธมีเหตุปัจจัย เกิดแล้ว  ปรากฏแล้ว แล้วก็ดับแล้วด้วย หมดไปแล้วด้วย เวลาที่ความโกรธไม่มี ใครจะไปพยายามทำให้ความโกรธเกิดขึ้นก็ไม่ได้ ต้องมีเหตุปัจจัยสมควรที่ความโกรธจะเกิด ความโกรธก็เกิด เหมือนกับได้ยิน ถ้าคนที่ไม่มี ภาษาธรรมใช้คำว่าโสตปสาท  ภาษาธรรมดาเราก็ใช้คำว่าหู ถ้าหูหนวก ทำอย่างไรๆคนนั้นก็ไม่ได้ยิน  แต่ถ้ามีหู นอนหลับสนิท อย่างไรๆคนนั้นก็ไม่ได้ยินอีก แต่ต้องมีเสียงกระทบหู แล้วก็กระทบจิต ซึ่งกำลังเป็นภวังค์ ต้องมีจิต เพราะว่าเสียงจะกระทบกับโสตปสาท เฉพาะหู  เป็นรูปพิเศษ ที่นี่ไม่มีหู ถึงแม้ว่าขณะนี้มีเสียง ก็จะไม่กระทบกับความแข็ง เสียงกระทบแข็งไม่ได้  เสียงจะกระทบกับสภาพที่สามารถจะกระทบเสียงได้เท่านั้น ซึ่งอยู่กลางหู เป็นรูปธรรมชนิดหนึ่ง

    เพราะฉะนั้น ขณะที่ได้ยินไม่ใช่เสียง แล้วก็ไม่ใช่หู แต่เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งซึ่งไม่เคยมีใครบอกเราเลย  ถ้าไม่มีการตรัสรู้ว่า สภาพที่กำลังได้ยินมีจริงๆ แล้วก็เป็นอนัตตา  คือ ไม่ใช่เรา แต่เป็นธาตุ หรือเป็นสภาพรู้ชนิดหนึ่ง


    หมายเลข 9289
    14 ก.ย. 2558