สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๓


    ส.   อยากเป็นไหมคะ พระอริยบุคคล

    ผู้ฟัง  ในสมัยนี้ต่างจากสมัยโน้นมาก

    ส.   ๒,๕๐๐ กว่าปี

    ถาม   ในสมัยนี้ก็น่าจะมีผู้ที่ประสบผลสำเร็จตามคำสั่งสอนของท่าน  สามารถที่จะตรัสรู้ได้บ้าง มีบ้างไหมครับ ในกาลของเรานี้

    ส.   ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมเลย จะไม่ทราบว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไรเลย  ถูกไหมคะ เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะรู้ว่า มีหรือไม่มี ฟังพระธรรมก่อน แล้วยังต้องรู้ว่าความรู้ขั้นฟังยังไม่สามารถที่จะประจักษ์การเกิดดับ การที่จะเป็นพระโสดาบันบุคคล หรือพระอริยบุคคล ไม่ใช่เพียงขั้นการฟัง แล้วสมัยนี้การฟังมีมากหรือมีน้อย เอาเพียงแค่ฟังก่อน

    ผู้ฟัง แล้วที่ท่านปฏิบัติกันทั้งหลายนี้ ที่ปฏิบัติอยู่ ไม่ว่าจะในเมืองไทย ไม่ว่าจะเถรวาท หรือมหาญาณพวกนี้ ท่านสามารถแสดง กล่าวว่าท่านปฏิบัติไม่เพียงพอ หรือว่าเราไม่ทราบว่า ท่านบรรลุโสดาบัน หรือผลซึ่งควรจะได้รับตามที่ท่านทำ

    ส.   ตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพระปัญจวัคคีย์  พระปัญจวัคคีย์ไม่อยากฟังธรรม เพราะเห็นว่าพระพุทธเจ้าเลิกทรมานพระองค์ ก็คิดว่า ทั้งๆที่ทรมานพระองค์ยังไม่ตรัสรู้ เลิกทรมานพระองค์แล้วจะตรัสรู้ได้อย่างไร

    นี่คือความเข้าใจของปัญจวัคคีย์ คือ เรื่องของการที่จะเข้าใจธรรมเป็นเรื่องของปัญญาที่ต้องอาศัยการฟังก่อน เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าก็ตรัสกับพระปัญจวัคคีย์ว่า พระองค์เคยตรัสก่อนนั้นหรือเปล่าว่า พระองค์ได้ตรัสรู้ธรรมเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระปัญจวัคคีย์ก็บอกว่ายังไม่เคยตรัสเลย พระองค์ก็ตรัสว่า ขณะนี้พระองค์เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ขอให้พระปัญจวัคคีย์ตั้งใจฟังพระธรรม ไม่ได้บอกให้ไปปฏิบัติที่ไหนเลย เพราะว่าคนเราที่จะมีปัญญาโดยไม่ฟัง จะมีใครบ้าง จะมีพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็คือผู้ที่เคยฟังพระธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าหลายๆพระองค์ แต่ว่าไม่สามารถที่จะตรัสรู้ในสมัยของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งพระองค์ใด โดยฐานะที่เป็นสาวก คือ ผู้ฟัง อย่างท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคัลลานะ ท่านที่เราเคยได้ยินชื่อเสียงกันบ่อยๆ ทั้งพระภิกษุ ทั้งภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ท่านเหล่านั้นเป็นสาวก  สาวโก คือ ผู้ฟัง แล้วก็ต้องฟังก่อน เพราะว่าปัญญาจะเกิดขึ้นมาเองไม่ได้แน่นอน ถ้าเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า  บำเพ็ญพระบารมีที่จะตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง เฉพาะในพระชาตินั้นเท่านั้นที่ไม่ได้ฟังธรรมจากใคร เพราะว่าบำเพ็ญบารมีพร้อมที่จะตรัสรู้ธรรมที่กำลังปรากฏ ที่กำลังเกิดดับ ที่เป็นปกติในขณะนี้  แต่ถ้าเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ขณะที่กำลังฟัง ถ้ารู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นสาวก ไม่ใช่ปัจเจกพุทธเจ้า ต้องกำลังฟัง ไม่สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ต่อเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระสัทธรรมอันตรธานแล้ว ปัญญาที่ได้สะสมไว้ก็สามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรม เหมือนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ แต่พระญาณไม่เท่ากัน เพระเหตุว่าบารมีไม่เท่ากัน

    เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีการฟังเลย แล้วเราจะบอกว่าปฏิบัติ เขาปฏิบัติด้วยอะไร เอาความรู้อะไรมาปฏิบัติ  เพราะฉะนั้น เราจะบอกว่า คนนี้ปฏิบัติแล้วเป็นพระอริยบุคคล คงจะเป็นเพราะอาจจะปฏิบัติมา ๒๐ ปี ๓๐ ปี แต่ว่าถ้าถามเรื่องปัญญาจะตอบไม่ได้เลย

    ผู้ฟัง บางคนคงจะนึกว่า ท่านคงบรรลุขั้นโสดาปัตติผล หรือว่าได้ผลที่ท่านปฏิบัติมาบ้าง เราก็ทราบว่าท่านปฏิบัติตามที่ทิศทางที่ถูกต้อง

    ส.   ทราบว่าโดยวิธีไหน

    ผู้ฟัง อันนี้เราไม่ทราบเลย

    ส.   ที่ถูก คือ  เราไม่ทราบว่าท่านเป็นหรือเปล่า โดยประการหนึ่ง  ประการที่๒ ฟังธรรมที่ทรงแสดง แล้วจะรู้ว่าเป็นธรรมที่ทำให้เป็นพระอริยบุคคลได้หรือเปล่า

    เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงดับขันธปรินิพพาน ไม่ได้ตั้งใครเป็นศาสดาแทนพระองค์เลย ข้อความนี้มีในพระไตรปิฎก เพราะเหตุว่าพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ดีแล้ว ครบถ้วน เป็นศาสดาแทนพระองค์ แม้แต่พระอรหันต์ที่ทำสังคายนา ๕๐๐ รูป ครั้งที่ ๑ ก็สังคายนาพระธรรมที่ได้รับฟังมาจากพระองค์ ข้อความในพระสูตรจะมีว่า เอวัม เม สุตัง ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้  ไม่ใช่คำของท่านพระอานนท์ ไม่ใช่ของท่านพระมหากัสสปะ ไม่ใช่ของใครๆ แต่คำที่ท่านกล่าวทั้งหมด ข้าพเจ้า คือ ท่านพระอานนท์ ได้สดับมาแล้วอย่างนี้ คือ ได้ฟังจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีพระธรรม หรือว่าไม่มีการศึกษาพระธรรม เรามีแต่ความคิด คนนั้นคงจะเป็นพระโสดาบัน คนนี้คงจะเป็นพระสกทาคามี คนนั้นคงจะเป็นพระอรหันต์ แต่ถ้าเราไม่มีความรู้ เราจะเอาอะไรที่จะเป็นเครื่องวัด ไม่มีอะไรเลย ที่จะบอกให้สามารถที่จะรู้ได้ แต่ถ้าเราศึกษาพระธรรม พุทธัง สรณัง คัจฉามิ มีพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ไม่ใช่มีแต่พระพุทธเจ้าเป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง มีพระธรรมเป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ หมายความถึงพระอริยบุคคลซึ่งไม่มีความเห็นผิด ไม่มีความเข้าใจผิดในพระธรรมและในพระพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้น ถ้าเรามีพระรัตนตรัยเป็นสรณะจริงๆ เราจะขาด ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ไม่ได้ เพราะว่าถ้าเราไม่ศึกษาพระธรรม เราจะไม่รู้เลยว่า พระพุทธเจ้าเป็นใคร เราเห็นพระพุทธรูป เราก็บอกว่า นี่เป็นพระพุทธรูป  แล้วก็เราก็ได้รับคำสอนให้กราบไหว้นับถือผู้เลิศ ผู้ไม่มีกิเลส แต่ว่าไม่ได้คิดถึงว่า ผู้ที่ทรงแสดงธรรมที่จะให้คนอื่นศึกษา  เข้าใจและประพฤติปฏิบัติ ตามจนสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ เพราะฉะนั้น ถ้าขาดพระธรรมแล้วไม่มีทาง

    ผู้ฟัง แล้วถ้ามีหลายคนที่ผมทราบเข้าใจว่า ธรรมอยู่แล้ว ตามในธรรมชาติ แต่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเป็นผู้ที่ค้นพบ แล้วมาตีแผ่ให้พวกเราฟัง นี้จะเป็นการเข้าใจถูกต้องไหมครับ

    ส.   ก็ต้องทราบอีกว่า ธรรมคืออะไร คือทุกคำที่ใช้ ถ้าเราเป็นสาวก เป็นผู้ฟัง พุทธศาสนาไม่ได้สอนให้เราเป็นคนเขลา ไม่ได้สอนให้เราเป็นคนโง่ แต่ว่าคนที่มีอวิชชาอยู่ ไม่ใช่วิชชา ผู้ที่มีอวิชชาคือผู้ที่ไม่สามารถจะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีอยู่ในขณะนี้ เฉพาะหน้า เพราะฉะนั้น วิชชาคือปัญญาที่สามารถจะรู้ความจริงได้ เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้รู้ความจริงนี้ โดยการตรัสรู้ โดยการประจักษ์แจ้ง พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่า พระองค์สร้างธรรม หรือว่าคิดธรรม แต่ว่าธรรมที่มีอยู่ในขณะนี้เป็นธรรม แล้วเราล่ะคะ ธรรมที่มีอยู่ในขณะนี้หรือเปล่า เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นคน เป็นผัก เป็นผลไม้ เป็นอะไรที่ อร่อยๆ เราพูดว่าเป็นธรรมหรือเปล่า เราเข้าใจว่า เป็นธรรมหรือเปล่า

    เพราะฉะนั้น ต้องศึกษาต้องเข้าใจธรรม ซึ่งเราใช้บ่อยมาก พอเกิดมาเราก็พูดตาม ใครเขาจะพูดประโยคไหน เราก็พูดตามได้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไตรลักษณะ ๓ อย่าง คือ อนิจจัง ไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดที่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ เราก็พูดตามได้ แล้วบอกว่าธรรมมีอยู่แล้ว เราก็พูดตามได้  แต่ว่าเราเข้าใจจริงๆหรือเปล่าว่า ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ อะไรเป็นธรรม


    หมายเลข 9291
    14 ก.ย. 2558