เครื่องยึดหน่วงจิต
สุรีย์ เผอิญมีผู้ร่วมสนทนาถาม คนปกติมีสติ แต่ไม่ใช่สติปัฏฐานของพระพุทธองค์ สรุปแล้วคนทั่วไป สติยังไม่สมบูรณ์
ท่านอาจารย์
สุรีย์ หมายความว่า ที่คำว่าสติ เขาก็เป็นภาษาของเขา แต่ไม่ใช่สติ เหมือนสติปัฏฐาน
ท่านอาจารย์
สุรีย์ แล้วอีกประโยคหนึ่งถามว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง สี เสียง เป็นส่วนหนึ่งของอารมณ์เท่านั้นใช่ไหม
ท่านอาจารย์
สุรีย์ คงจะเป็นอารมณ์
ท่านอาจารย์
คราวก่อนดิฉันฟังอาจารย์สมพร ท่านก็ได้ให้ความหมายของคำว่า “อารัมมณะ” กับ “อาลัมพนะ” เพราะว่าเท่าที่เรียนๆมา โดยมากเราจะใช้เพียงคำเดียว คือ ใช้คำว่า “อารมณ์” หรือ “อารัมมณะ” แต่จริงๆแล้ว ถ้าดูในภาษาบาลี จะเห็นว่ามีคำว่า “อาลัมพนะ” บ่อยๆ ไม่ใช่มีแต่คำว่า “อารัมมณะ“ ไม่ทราบว่าภาษาบาลีใช้คำไหนมากกว่ากันคะ อารัมมณะ กับอาลัมพนะ
สมพร โดยมากในวิถีจิต ก็เห็นว่า ใช้อาลัมพนะ แต่ว่าทั่วๆไปใช้อารมณ์ ส่วนมากใช้คำว่าอารมณ์ ก็พอจะเข้าใจง่าย ความจริงก็ถ้าภาษาไทยก็อย่างเดียวกัน
ท่านอาจารย์
สมพร อารามก็เช่นเดียวกับ มาจากศัพท์เดียวกันครับ
ท่านอาจารย์
สมพร อาลัมพนะ หมายความว่า เป็นเครื่องยึดหน่วงให้จิตเกิดขึ้น จิตที่จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องเป็นอารมณ์เกิดขึ้น หรือเครื่องยึด หมายความว่า อารมณ์เป็นเครื่องยึดหน่วงให้จิตเกิดขึ้น จิตที่จะเกิดขึ้นได้ก็เป็นเครื่องยึดหน่วง หมายความว่าอารมณ์เป็นเครื่อง ยึดหน่วงทำให้จิตเกิดขึ้นนั่นเอง แปลว่ายึดหน่วงให้เกิดขึ้น
ท่านอาจารย์
นี่ค่ะ แม้แต่สิ่งที่ดูสำคัญ เป็นมนายตนะ เป็นอินทรีย์ เป็นมนินทรีย์ แต่กระนั้นก็ยังต้องอาศัยปัจจัย คือ อารมณ์ แล้วตามข้ออุปมาที่ว่า จิตเหมือนกับคนทุพลภาพ เหมือนคนชรา ไร้เรี่ยวแรง เวลาที่จะลุก จะนั่ง จะเคลื่อนไหว ก็ต้องอาศัยเครื่องยึดหน่วง คือ เชือกหรืออะไรสำหรับที่จะโหน ทำให้ลุกขึ้นมาได้ เพราะว่าเป็นคนชราที่ทุพลภาพ ก็จะเห็นคำอุปมาที่ทำให้เข้าใจลักษณะของจิตว่า อารมณ์เหมือนกับเชือกซึ่งหน่วงให้จิตเกิด ทำให้จิตยึดแล้วก็เกิดขึ้นได้
แสดงให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องอาศัยปัจจัยจริงๆ แม้แต่จิต ถ้าปราศจากอารมณ์ก็เกิดไม่ได้ แล้วเมื่ออารมณ์มี แล้วก็จิตกำลังรู้อารมณ์แล้ว ปรากฏว่าจิต นั้นเองก็พอใจในอารมณ์ทุกอารมณ์ที่จิตรู้ เป็นอารัมมณะหรืออารามมะ เป็นที่ยินดี ที่พอใจของจิต
จะเห็นได้ว่า จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ และมีความพอใจที่จะรู้อารมณ์ด้วย ขณะนี้ที่เห็นทางตา เกือบจะไม่รู้สึกเลยว่า พอใจแล้วที่เห็น ในรูปที่กำลังปรากฏ มิฉะนั้นจะไม่เข้าใจเลยว่าวิถีจิตสั้นๆ ที่เพียงเห็นแล้วจะเกิดความยินดีพอใจได้อย่างไร ก็เพราะเหตุว่าอารมณ์ทุกอารมณ์เป็นอารัมมณะ เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความยินดีพอใจ จิตยินดีพอใจในอารมณ์ที่กำลังปรากฏ
ทางหู เสียงนิดเดียว เกือบจะไม่รู้เลยว่า ไม่ว่าจะอะไรก็ตามที่เป็นอารมณ์ที่จิตรู้ที่ทำให้จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์นั้น มีความพอใจในอารมณ์นั้นแล้ว ช่างรวดเร็วนะคะ แล้วก็เป็นไปโดยที่ว่า ไม่มีใครสามารถที่จะปฏิเสธได้ว่า ไม่พอใจในรูปที่ปรากฏทางตา เสียงที่ปรากฏทางหู กลิ่นที่ปรากฏทางจมูก รสที่ปรากฏทางลิ้น โผฏฐัพพะที่กระทบกาย ส่วนที่ไม่พอใจก็เป็นอนิจฐารมณ์ คือ อารมณ์ซึ่งไม่น่าพอใจก็เป็นของธรรมดาอีก ซึ่งอารมณ์ก็ต้องมีทั้งอารมณ์ที่ดีและอารมณ์ที่ไม่ดี ไม่ใช่มีแต่เพียงอารมณ์ที่ไม่ดีอย่างเดียว หรือว่ามีแต่อารมณ์ที่ดีอย่างเดียว ต้องมีอารมณ์ที่ดีก็มี อารมณ์ที่ไม่ดีก็มี แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าสิ่งใดที่เป็นอารมณ์ จิตก็มีความต้องการหรือว่าพอใจในอารมณ์นั้น