อยู่ในบ้านศัตรู


    ท่านอาจารย์ อยู่ในกิเลสซึ่งเป็นที่ตั้งของภัย กิเลสจะนำสิ่งดีๆ มาให้ได้ไหมคะ น้ำท่วม ไฟไหม้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ดีทั้งหมดเกิดจากกิเลส ไม่ใช่เกิดจากธรรมฝ่ายดี เพราะฉะนั้นอยู่กับกิเลสซึ่งเป็นที่ตั้งของภัย แน่นอน วันหนึ่งวันใดหรือวันไหน เมื่อมีเหตุ ผลก็ต้องมี ท่านอุปมาว่า “เหมือนอยู่ในบ้านศัตรู”

    ทีแรกคิดว่าอยู่บ้านของเราเองกับลูกใช่ไหมคะ

    ผู้ฟัง คือความผูกพันใช่ไหมคะ

    ท่านอาจารย์ กิเลสทั้งหมด มีหลายอย่างค่ะ โลภะทั้งหมด ความติดข้องก็เป็นกิเลส โทสะ ความขุ่นเคือง ไม่ชอบ ก็เป็นกิเลส สภาพที่ทำให้จิตเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส ไม่ผ่องใสทีนี้คือเป็นอกุศล เป็นสภาพธรรมที่ไม่ดี

    เพราะฉะนั้นเมื่อกี้นี้อยู่ในบ้านกับลูก ความจริงอยู่กับกิเลสในบ้านของศัตรู แล้วขณะใดที่กิเลสเกิด เลี้ยงดูศัตรูให้อิ่มหนำสำราญ เป็นอย่างนี้อยู่ทุกวันหรือเปล่าคะ

    นี่คือพระธรรมที่ทรงแสดง พระมหากรุณาโดยโวหารเทศนา ที่จะทำให้คนฟังต่างอัธยาศัยได้สำนึก ได้เข้าใจจริงๆ ว่า แต่ละคนคือจิตอะไร ดีแค่ไหน หรือว่าตรงกันข้าม สะสมอะไร อกุศลเป็นขยะ หรือเป็นสิ่งที่ควรทิ้ง แต่ก็เก็บมาเรื่อยเลยทุกวัน ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ใส่จนเต็มใจ ล้น เป็นภาชนะก็ไม่มีที่จะเก็บ แล้วลองคิดถึงกลิ่นขยะ เป็นไงคะ แต่ไม่มีกลิ่นเลย สำหรับคนที่ไม่รู้ว่า แท้ที่จริงแล้วกลิ่นของอกุศลแรงกว่ากลิ่นดิบ ที่ใช้คำว่า กลิ่นดิบ คือกลิ่นสัตว์ที่ดิบๆ อย่างคนที่กินเนื้อสัตว์หรือไม่กินเนื้อ ก็ทรงแสดงเรื่องของกลิ่นดิบไว้

    แต่แท้ที่จริงที่จะคิดว่า ที่สำคัญที่สุดก็คือจิต เพียงไม่มีจิต เจตสิกมีไหม ถึงแม้รูปที่เราเห็นเป็นโลก เป็นภูเขา จะเกิดเพราะอุตุ ความเย็น ความร้อนซึ่งเป็นธาตุ ก็ไม่ได้รู้อะไรเลย ไม่สามารถเป็นสุข เป็นทุกข์ คิดนึกปรุงแต่งอะไรได้เลยทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้นที่สำคัญที่สุด คือ จิตเป็นใหญ่ เป็นประธานที่ต้องรู้ทุกอย่าง เกิดเมื่อไรต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้นที่ว่าคนเกิด ไม่ใช่ต้นไม้ใบหญ้า ก็เพราะเหตุว่ามีจิตซึ่งเป็นธาตุรู้ เป็นสภาพรู้เกิดขึ้น ไม่ให้เกิดได้ไหม

    “นิยาม” ความที่ต้องเป็นอย่างนั้น เป็นธรรมที่ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่สามารถบันดาลหรือเปลี่ยนธรรมให้เป็นอย่างอื่นได้ แต่ทรงตรัสรู้ความจริง ทรงแสดงความจริง

    เพราะฉะนั้นที่สำคัญที่สุด คือ จิตเกิดพร้อมกับเจตสิก และต่างก็อาศัยกัน และกันเกิดขึ้น และเจตสิกก็มีถึง ๕๒ ประเภท ความหลากหลายของจิตจะมีแค่ไหน แต่ส่วนใหญ่แล้วเพราะไม่รู้ความจริง ก็ติดข้อง มีเรา ทั้งๆ ที่จิตเกิด จิตเห็น เพียงรู้สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น คิดนึกอะไรไม่ได้เลย จิตได้ยิน ก็รู้เสียง ทำให้เสียงที่มีปรากฏกับธาตุที่กำลังได้ยินเสียง และจิตคิดนึกเรื่องราวที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ทั้งวันด้วยความไม่รู้ มาแล้วค่ะ ถูกไหมคะ ด้วยความติดข้อง เพิ่มกิเลสขึ้นมาอีก แล้วยังกิเลสอื่นๆ อีก ขยะทั้งนั้นเลย เก็บไว้หมดเลย อยู่กับกิเลส ซึ่งเป็นที่ตั้งของภัย ดุจอยู่ในบ้านของศัตรู ทุกครั้งที่กิเลสเกิดก็เลี้ยงดูศัตรู อิ่มหนำสำราญอ้วนพี แข็งแรง ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม เราจะเห็นโทษไหมคะว่า ความไม่รู้นำมาซึ่งอกุศลทั้งหลาย

    เพราะฉะนั้นความรู้ความเข้าใจจริงๆ เท่านั้น ที่จะค่อยๆ ละความไม่รู้ ค่อยๆ ถึงความไม่มีกิเลสเลยได้ เพราะความรู้เพิ่มขึ้น

    เพราะฉะนั้นควรรู้ไหมคะ หรือก็ควรเป็นไปอย่างเดิม ชาติหน้าจะเกิดเป็นอะไรก็ไม่รู้ เกิดแล้วก็แล้วกัน แล้วกลับมาเป็นอย่างนี้อีกก็ไม่รู้ เดี๋ยวน้ำท่วม เดี๋ยวไฟไหม้ ก็เป็นอย่างนั้นแหละ โดยไม่รู้ ถ้าอย่างนั้นการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เป็นประโยชน์ พระรัตนตรัยไม่เป็นที่พึ่ง

    เพราะฉะนั้นกราบไหว้บูชากล่าวคำที่เข้าใจหรือเปล่า ต้องเป็นผู้ที่ตรงจึงจะได้สาระจากพระธรรม เพราะทุกคำเป็นคำจริง วาจาสัจจะ กำลังเข้าใจความจริง เป็นญาณสัจจะ ญาณ คือ ความรู้ความเห็นถูก ซึ่งเป็นมรรคสัจจะ เป็นทางที่จะนำไปสู่ความรู้จริงๆ ซึ่งพ้นจากกิเลส และดับกิเลสได้

    ที่กำลังเดินไปๆ เดินไปถึงความเห็นผิดซึ่งไม่มีทางกลับมาสู่ความเห็นถูก ถ้าไม่รู้ว่า ความเห็นผิดต่างกับความเห็นถูกอย่างไร

    เพราะฉะนั้นธรรมก็เป็นสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ไตร่ตรอง และอบรมไป ภาวนาคืออบรม


    หมายเลข 8734
    19 ก.พ. 2567