ทั้งหมดที่เรียนมาก็คืออยู่ในตำรา
คุณศุกล เมื่อกี้ผมฟังท่านอาจารย์กำลังให้คำอธิบาย ตามความเป็นจริงผมเห็นท่านอาจารย์ แล้วก็เสียงที่ท่านอาจารย์พูด ได้ยินทุกถ้อยคำ รู้หมดเลย จำได้หมดเลย มันมีลักษณะที่เกือบจะว่าพร้อมกันไปเลย
ท่านอาจารย์ อันนี้ก็เป็นของจริงอีก จริงอย่างไรต้องเป็นจริงอย่างนั้นนะคะ จริงอย่างนี้ถ้าไม่เคยฟังพระธรรมเลย ใครจะมาบอกว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ก็ต้องหัวเราะ หรือเมินเฉย หรือไม่เชื่อ แต่ถ้าศึกษาพระธรรมถึงขณะจิตทีละขณะ ซึ่งต่างกันจากทางตาแล้วก็ผ่านไปถึงทางหู แล้วก็มีการคิดนึก มีการจำได้ หรือเสียงที่กำลังปรากฏ ขณะแรก วาระแรกก็เป็นการได้ยินเสียง แล้วภายหลังก็รู้ความหมาย เพราะเหตุว่าถึงเราจะไม่ได้ยินเสียง เรานึกถึงคำได้ นึกถึง “เขาเต่า” ทุกคนนึกในใจ “เขาเต่า” เสียงไม่ได้ออกมาเลย แต่ใจนึกได้ ไม่ว่าเราจะนึกถึงใครก็ตาม จะมีชีวิตอยู่หรือว่าจะสิ้นชีวิตไปแล้วก็ตาม ทันทีที่นึกเป็นเรื่อง เป็นคำ ให้ทราบว่า เป็นสัญญา ความจำเสียง ซึ่งทำให้มีชื่อต่างๆ และทำให้เรานึกถึงเรื่องราวต่างๆ
นี่ก็เป็นจริง ทั้งหมดเป็นจริงอย่างไร เป็นจริงอย่างนั้น ไม่ต้องไปบิดเบือน ไม่ต้องไปคิดว่า ธรรมคืออย่างอื่น แต่เวลาที่ปัญญาอบรมเจริญแล้ว รู้ความจริงอย่างนี้ สามารถที่จะรู้ได้ว่า ไม่ใช่ตัวตน ซึ่งการไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เพียงแต่ขั้นปริยัติที่เรามาพูดกันทุกวันๆ กางตำรามากี่เล่มว่าไม่ใช่ตัวตน แต่ไม่ใช่ตัวตน เพราะเหตุว่าสามารถจะเข้าใจในธาตุรู้ที่กำลังเห็น เมื่อเข้าใจในลักษณะของธาตุรู้ซึ่งเป็นอาการรู้ที่กำลังเห็น จะรู้ว่า นั่นเป็นแต่เพียงนามธรรมชนิดหนึ่ง เป็นธาตุชนิดหนึ่ง
เพราะฉะนั้นเวลาที่มีได้ยินเกิดขึ้น ก็สามารถเข้าใจในธาตุที่ได้ยินเสียงว่า เป็นธาตุรู้เสียง ที่เราใช้คำว่า “ได้ยิน” เพราะฉะนั้นก็จะมีความคุ้นเคยกับธาตุรู้ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ และก็ยังสารพัดของลักษณะที่เรามีอยู่ในวันหนึ่ง เช่น ความโกรธ ความดีใจ ความเสียใจทั้งหมด หรือการนึกคิดทั้งหมด ปัญญาสามารถรู้ในลักษณะอาการซึ่งเป็นธาตุรู้แต่ละอย่างๆ จนกว่าจะทั่ว ต้องใช้คำว่า “จนทั่ว” ถ้าไม่ทั่วแล้วไม่มีทาง จะไปไม่ใช่ตัวตนไม่ได้ จะละคลายการยึดถือไม่ได้ เพราะว่าปัญญาเพียงแต่รู้จักชื่อนาม กับรู้จักชื่อรูป แต่ตัวจริงของนาม ตัวจริงของรูปซึ่งกำลังทำกิจการงานในขณะนี้ ไม่เคยรู้
นี่คือปัญญาที่ต่างขั้น เพราะฉะนั้นเวลาที่ประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ ไม่ผิดปกติ ปกติเป็นอย่างไร ตามที่ทรงแสดงไว้ จะต้องรู้ตามความเป็นจริงอย่างนั้น แม้แต่มโนวาร ซึ่งเกิดต่อจากทวารทางตา ทางหู ก็ต้องรู้ตามความเป็นจริงอย่างนั้น
คุณศุกล ทีนี้ท่านอาจารย์มีคำเปลี่ยนในเรื่องคำว่า “ธาตุรู้” แต่เวลาเราพูด ก็เป็นเรื่องของโสตวิญญาณ จักขุวิญญาณ ถ้าไม่เปลี่ยนมาเป็นคำว่า ธาตุรู้ อาการรู้
ท่านอาจารย์ ไม่มีทางเลยค่ะ เพราะเหตุว่ามีลักษณะ ๒ อย่าง คือ นามธรรมกับรูปธรรม ทั้งหมดย่อโลกทุกจักรวาลลงมาแล้ว จะมีสภาพธรรมเพียง ๒ อย่าง คือ สภาพที่เป็นธาตุรู้ กับสภาพที่เป็นรูปธรรม คือ ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่ใช่ธาตุรู้ ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย
เพราะฉะนั้นเมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ ปัญญาก็จะต้องอบรมจนกว่าจะรู้ว่า เป็นแต่เพียงธาตุชนิดหนึ่ง เป็นของจริงชนิดหนึ่ง เป็นอาการรู้ชนิดหนึ่ง
คุณศุกล ความรู้ไม่มากมายอย่างนี้ ก็คงจะได้ ...
ท่านอาจารย์ ไม่ต้องไปคิดถึงการรู้แจ้งสภาพธรรม หรืออะไรทั้งหมดที่เรียนมาก็คืออยู่ในตำรา