ทุกข์ เมื่อยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมทั้งหลายที่เกิด ถ้าไม่รู้ตามความเป็นจริงจะไม่รู้เลยว่า เป็นธรรมแต่ละอย่าง เป็นเราไปหมด เป็นเรา เป็นเขา เป็นวัตถุสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่จากการตรัสรู้และทรงแสดง ก็ได้ประจักษ์ความจริงว่า เมื่อมีการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา ต้องมีความทุกข์เกิดขึ้น เพราะว่าสิ่งใดๆก็ตามไม่สามารถเป็นไปได้ตามความต้องการของเราได้ ทุกคนอยากสุข แต่ทุกคนก็ทุกข์

    เพราะฉะนั้นถ้ามีการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา จะมีความทุกข์สักแค่ไหน สิ่งที่เคยเป็นเราเปลี่ยนไป แก่ เจ็บ แล้วก็ตาย ซึ่งไม่มีใครพ้นไปได้

    นี่ก็ทรงแสดงให้เห็นว่า แม้ว่าคำเดียวจาก “ธรรม” ก็ต้องเข้าใจอรรถ ปรม กับอรรถ กับธรรม  ถ้าธรรมนั้นไม่มีลักษณะเฉพาะของตนๆ เราก็จะไม่มีอรรถ คือ คำที่แสดงความหมายของสิ่งนั้น แต่เพราะเหตุว่าลักษณะของสภาพธรรมต่างกัน อย่างเสียงมีจริงๆ เป็นธรรม ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับ เอาของแข็งมากระทบกันเกิดเสียงแล้วก็ดับ เป็นธรรม

    เพราะฉะนั้นเมื่อทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับเป็นธรรม เราก็ไม่ทิ้งความหมายนี้ ตลอดทั้ง ๓ ปิฎก ถ้าใครถามเราว่า ธรรมคืออะไร ต่อไปเราก็จะตอบได้วา ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมทั้งหมด ทำไมว่าเป็นธรรม เพราะเหตุว่าไม่ใช่ของใคร ไม่มีใครเป็นเจ้าของ สภาพธรรมใดเกิดก็มีปัจจัยที่จะเกิดแล้วก็ดับ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

    ทุกอย่างที่มีจริงๆ เราไม่ต้องเรียกชื่อก็ได้ อย่างความโกรธ ไม่ต้องเรียกชื่อ จะใช้ภาษาบาลีว่า โทสะ หรือความโกรธ หรือภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีน ภาษาฝรั่งเศส จะใช้คำอะไร ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงลักษณะของความโกรธนั้นได้ เพราะความโกรธต้องเป็นความโกรธ มีลักษณะโกรธ เกิดขึ้นแล้วต้องขุ่นเคือง ต้องหยาบกระด้าง เป็นธรรม

    ทุกอย่างที่มีจริง เสียงมีจริง บังคับไม่ให้เสียงเกิดก็ไม่ได้ เดี๋ยวก็มีเสียง เมื่อมีปัจจัยที่เสียงจะเกิด แล้วเสียงก็ดับ ไม่ได้มีตลอดไป

    ทุกอย่างเกิดแล้วหมดทันที นี่เป็นสิ่งที่ใหม่มากสำหรับคนที่ไม่เคยฟังธรรมเลย เพราะเราคิดว่า ไม่เที่ยงก็คือเมื่อเกิดแล้วค่อยๆโต แล้วค่อยๆแก่ แล้วก็เจ็บ แล้วก็ตาย แล้วก็มีเหตุการณ์ต่างๆในชีวิตที่เปลี่ยนแปลง นั่นคือเราคิดว่าไม่เที่ยง แต่จากการตรัสรู้ ไม่เที่ยง เร็วกว่านั้นมาก

    ทุกอย่างขณะนี้กำลังเกิดดับ ยากที่จะเชื่อ ยากที่จะรู้ได้ แต่ว่าไม่ใช่ไปเข้าห้องทดลอง หรือไปทำอะไรขึ้นมา แต่ต้องเป็นปัญญาที่อาศัยการฟังพระธรรมที่แสดงละเอียดกว่านี้อีก คือ แสดงว่าขณะหนึ่งที่เกิดเป็นอะไร เป็นธรรมก็จริง แต่เป็นธรรมประเภทไหน ชนิดไหน เกิดเพราะเหตุปัจจัยอย่างไร ก็จะทำให้ค่อยๆเข้าใจความจริงได้ จนกระทั่งมีผู้ที่ได้อบรมเจริญปัญญา ไม่ใช่แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียว พระสาวกในอดีตที่เป็นพระอรหันต์บ้าง   เป็นพระอนาคามีบุคคล คือ ผู้ที่ดับกิเลสแต่ยังไม่หมดสิ้นอย่างพระอรหันต์ เพียงขั้นพระอนาคามี หรือว่าน้อยกว่านั้นคือพระสกทาคามี หรือน้อยกว่านั้นก็คือพระโสดาบัน สามารถรู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง ดับการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน

    ในครั้งนั้นมีมาก แต่ก่อนจะถึงเวลานั้นก็คือเวลานี้ เวลาที่เริ่มฟังธรรม แล้วก็ค่อยๆเข้าใจธรรม จนกว่าจะเข้าใจเพิ่มขึ้น จนกว่าจะถึงขณะนั้น คือ อภิสมัย สมัยที่ยิ่งใหญ่จริงๆ คือ สามารถรู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ได้

    เพราะฉะนั้นสำหรับคนที่ยังไม่ได้ศึกษาธรรมเลย ไม่รู้จักคำว่า “ธรรม” ไม่รู้จักว่า ธรรมเกิดขึ้นแล้วดับไปอย่างเร็วมาก แต่ว่าเมื่อได้ศึกษาแล้ว ก็จะค่อยๆเห็นความจริง ความไม่เที่ยง ความไม่ใช่ตัวตน

    อยากละตัวตนหรือเปล่าคะ หรือมีไว้ก็ดี ตามความเป็นจริงค่ะ คือ การฟังธรรม เราต้องทราบว่า ฟังพระธรรมที่พระพุทธเจ้าผู้ไม่มีกิเลส ผู้ดับกิเลสแล้วทรงแสดง กับผู้ที่กำลังเริ่มฟัง ซึ่งยังมีกิเลสมากๆ ความคิดเห็นจะให้เห็นจริงจังอย่างผู้ที่ได้รู้แจ้ง เป็นไปไม่ได้ แต่ว่าเมื่อยังมีกิเลส ก็ยังดีที่มีการการฟังให้รู้ว่ามีอะไรตรงไหนที่ไม่ดี เพราะว่ากิเลสไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย เป็นสิ่งที่จะนำความทุกข์มาให้ มากหรือน้อย แล้วแต่ว่าเป็นกิเลสที่หนาแน่นแค่ไหน

    เพราะฉะนั้นขณะนี้ผู้ที่ได้ละการยึดถือตัวตนแล้ว เป็นผู้ที่เห็นถูกต้องว่า เพราะมีตัวนี้ สภาพนี้จึงแก่ จึงเจ็บ จึงตาย ถ้าไม่มีตา ก็ไม่มีโรคตา ไม่มีหู ก็ไม่มีโรคหู ไม่มีร่างกาย ก็ไม่ต้องมีโรคภัยใดๆทั้งสิ้น สบายไหม ไม่ต้องรับประทานอาหารด้วย ไม่ต้องอาบน้ำ ไม่ต้องทำอะไรตั้งหลายอย่าง แต่พอมีแล้วก็เป็นของเรา ก็ทะนุถนอมอย่างดีเยี่ยมจริงๆ รักมาก ทะนุถนอมเช้าสายบ่ายค่ำ ทำทุกอย่างเพื่อรูปนี้ จนกว่าจะเกิดการเห็นว่ารูปนี้เป็นทุกข์อย่างไร  ไม่เป็นไปตามใจอย่างไร ก็เป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์ แล้วแต่ว่าจะติดข้องมากน้อยแค่ไหน แต่ว่าเราต้องพิจารณาว่า สิ่งที่ได้ฟัง แม้ว่าเราจะไม่เห็นจริงอย่างนั้น ยังไม่ประจักษ์อย่างนั้น แต่เป็นความจริงอย่างนั้นหรือเปล่า เพียงแค่ว่า มีตัวดีหรือไม่มีตัวดี ตอบตามความเป็นจริงเลยค่ะ ปัญญาระดับไหนคือระดับนั้น กิเลสขณะไหนคือขณะนั้น


    หมายเลข 8596
    10 ก.ย. 2558