ศาสนาเจริญหรือเสื่อม อยู่ที่ความเข้าใจธรรมของชาวพุทธ


    ท่านอาจารย์ ได้ฟังธรรมบ้างในวันนี้ และเข้าใจเรื่องนามธรรมและรูปธรรม พอใจที่จะฟังต่อ หรือว่าพอแล้ว

    ตอบ  ก็น่าสนใจค่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะนี่เป็นจุดที่สำคัญ คนที่ไม่ได้สะสมมาจะรู้สึกว่า เรื่องมาก ยุ่ง ก็ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทุกคนก็มี ถ้าเรารู้ว่า อะไรเป็นกุศล อกุศลเป็นอกุศล ก็น่าจะพอ แต่ถึงจะรู้อย่างนั้นก็ดับกิเลสไม่ได้เลย เราก็ยังคงเดี๋ยวก็โกรธ เดี๋ยวก็รัก เดี๋ยวก็ชัง ทั้งๆที่รู้ว่า อกุศลไม่ดี ก็ยังมี ทั้งๆที่รู้ว่า กุศลดี ก็ยังไม่ได้ทำ หรือไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ เพราะว่าเป็นอนัตตา

    แต่ละคนมีอัธยาศัยที่สะสมมาต่างๆกัน เราจะเห็นว่า บางคนเขาไม่ได้ฟังธรรม แต่เขาก็ไม่ค่อยโกรธ แล้วเขาก็มีเมตตาตามการสะสม แต่ถึงคนที่ฟังธรรมแล้ว แต่สะสมมาที่ยังโกรธก็โกรธ แต่รู้ว่า ขณะนั้นเป็นธรรม บุคคล ๒ บุคคลนี้ คนไหนจะดีกว่ากัน

    ตอบ  คนที่ไม่ได้ฟังธรรม แต่ไม่โกรธ

    ท่านอาจารย์ หรือคะ แล้ววันหนึ่งก็ต้องโกรธ

    ผู้ตอบ หรือคะ

    ท่านอาจารย์ แน่นอนค่ะ เพราะยังไม่ได้ดับความโกรธ แต่คนที่รู้ว่าเป็นธรรม ค่อยๆอบรมเจริญปัญญา วันหลังก็จะดับความโกรธ  ไม่เกิดอีกเลย และถ้าโกรธ ซึ่งทุกคนก็ต้องโกรธ แล้วรู้จักว่า โกรธคืออะไร เป็นเราหรือเป็นสภาพธรรม กลับไม่รู้เลย แล้วก็ยึดถือว่าเราโกรธ ถ้ายึดถือว่าเราโกรธ ไม่ใช่แค่วันเดียว หลายเดือน หลายปี หลายสิบปีก็ได้ ยังโกรธเรื่องเก่าอยู่ เพราะไม่รู้ว่าเป็นธรรม ซึ่งเพียงเกิดแล้วก็ดับ

    เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่า การฟังต้องมีการพิจารณาโดยแยบคาย แม้แต่ผู้ที่กำลังฟัง มีการสะสมอะไรมากน้อยแค่ไหน เห็นคุณประโยชน์ของการฟังจริงๆหรือเปล่าว่า นี่เพียงแค่นี้ แล้วยังมีอีกตั้งเยอะที่ทรงแสดง และมีประโยชน์มากมายมหาศาลจริงๆ เพราะว่าทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่ออนุเคราะห์ให้คนได้เกิดปัญญาถึงขั้นระดับที่ดับกิเลสได้ ไม่ใช่เพียงแต่รู้จักกิเลสเฉยๆว่ามี แต่ว่าไม่สนใจที่จะเข้าใจยิ่งขึ้น หรือว่าหนทางอบรมที่จะให้รู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง จนถึงขั้นที่สามารถดับกิเลสได้คืออย่างไร

    เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้จริงๆ บางคนก็ฟัง ไม่ใช่ไม่ฟัง พอได้ยินว่ามีธรรม ก็อยากฟัง แต่พอฟังแล้วมากเกินไป ละเอียดเกินไป ยุ่งยากเกินไป ฟังก็เท่านั้น ไม่ฟังก็มีความสุขดีแล้ว เขาก็จะละเลยหรือทอดทิ้ง คือ ไม่เห็นประโยชน์ของพระธรรมซึ่งทรงแสดง ๔๕ พรรษา สำหรับคนในยุคนั้นไม่ต้องถึง ๔๕ พรรษา เขาอบรมการฟังจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆมาแล้ว เพราะฉะนั้นไม่นานนัก เขาก็สามารถรู้ความจริงได้  แต่ ๔๕ พรรษาที่ทรงแสดงสำหรับพวกเรารุ่นนี้ ที่จะต้องฟังโดยละเอียด โดยรอบคอบ โดยพิจารณาให้เป็นปัญญาจริงๆ มิฉะนั้นก็จะเข้าใจผิดในคำสอนได้ และที่จริงถ้าเราจะมีเพียงแค่ศีลธรรม ไม่ต้องอาศัยพระธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ พ่อแม่ พี่น้อง ครูบาอาจารย์ เพื่อนฝูง ชีวิตตามความเป็นจริงที่เราอาจจะสังเกต และถือเอาสิ่งที่เหมาะ ที่ควร ที่ดี ที่งาม เป็นแบบอย่างที่จะประพฤติตาม โดยไม่ต้องศึกษาคำสอนก็ได้ แต่เมื่อเรามีโอกาสที่จะเกิดในยุคที่ยังมีคำสอนอยู่ ยังไม่อันอันตรธาน เพราะว่าคำสอนนี้วันหนึ่งต้องหมด  หายไปจากโลกนี้แน่นอน เพราะเหตุว่าไม่มีคนศึกษา ถ้าไม่ศึกษาแล้ว จะรู้ได้อย่างไรว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร ทรงแสดงพระธรรมละเอียดมากน้อยแค่ไหน

    เพราะฉะนั้นจะว่าพระพุทธศาสนาเจริญหรือเสื่อม อยู่ที่ความรู้ของผู้ที่เป็นชาวพุทธ ถ้าผู้เป็นชาวพุทธไม่ศึกษา แล้วจะบอกว่า พระพุทธศาสนาเจริญนี่ไม่ได้ เพราะศาสนาคือคำสอนที่ทรงแสดงไว้ ไม่ใช่วัดวาอาราม หรือไม่ใช่พระไตรปิฎกที่เป็นเพียงตัวหนังสือสีดำ สีขาว แต่ต้องเป็นการศึกษาจริงๆ เข้าใจจริงๆว่า ทั้งหมดที่ทรงแสดง ทรงแสดงเรื่องสภาพธรรมที่มีจริงในชีวิตประจำวันของทุกคน

    เพราะฉะนั้นก็ขึ้นอยู่กับเรา ฟังแล้ว จะมีศรัทธาเห็นประโยชน์ รู้ว่าเป็นสิ่งที่ควรจะศึกษา เพราะว่าแม้เพียงฟังแค่นี้ ปัญญายังรู้ว่าเป็นธรรม เป็นนามธรรม เป็นรูปธรรม ถ้าฟังมากกว่านี้ ศึกษามากกว่านี้ วันนี้ก็จะเข้าใจธรรมมากกว่านี้ ก็มีประโยชน์มากกว่านี้ หรือบางคนที่ไม่ได้สะสมมาก็คิดว่า แค่นี้พอแล้ว แค่รู้แค่นี้ก็พอ  พอไหมคะ ไม่พอค่ะ  ก็ดีค่ะ ได้ฟังต่อไป


    หมายเลข 8599
    10 ก.ย. 2558