เด็กๆกับธรรม - ทุกคนเริ่มต้นลักษณะเดียวกัน


    แอ๊ว  พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายท่านเริ่มต้นเหมือนเราอย่างนี้ใช่ไหมคะ เริ่มต้นจากการฟังอย่างนี้ การสนทนาธรรมอย่างนี้ ศึกษาอย่างนี้ เพราะฉะนั้นพวกเราทุกคนเด็กๆในนี้ก็จะต้องเริ่มจากตรงนี้

    ท่านอาจารย์    การเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยพระปัญญา ถ้าไม่มีปัญญาก็ดับกิเลสไม่ได้ เพราะฉะนั้นจากความไม่รู้สู่ความค่อยๆรู้ขึ้น ด้วยการเป็นพหุสูต คือ ผู้ที่ฟังมาก ฟังแล้วต้องไตร่ตรองและเข้าใจด้วย เพราะฉะนั้นถึงได้บอกว่า เวลาฟังให้เข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง พอเข้าใจสิ่งที่กำลังฟังวันนี้ ฟังอีกก็เข้าใจเพิ่มเติมอีกจากสิ่งที่เข้าใจแล้วจากการฟัง

    เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปคิดเรื่องอื่น ซึ่งเราคิดเองไม่ได้ ต้องอาศัยการฟังจริงๆ ที่จะฟังแล้วรู้ว่า ความเข้าใจของเราที่เข้าใจจริงๆ จะค่อยๆเสริมเพิ่มขึ้นเมื่อเรามีพื้นฐานที่มั่นคง จากความเข้าใจจริงๆ  แม้ว่าจะเป็นเพียงคำสองคำ ๓ คำ แต่ขอให้เข้าใจคำนั้นจริงๆ

    แอ๊ว  เคยได้ยินได้ฟังมาว่า ในการได้ฟังธรรมที่ถูกต้องจะต้องมีการสะสมมาจากชาติปางก่อน ขอให้ท่านอาจารย์ช่วยอธิบาย

    ท่านอาจารย์    ชาตินี้ก็เป็นชาติปางก่อนของชาติหน้า ก็ไม่ต้องไปคิดถึง เราก็จะรู้ตัวเราได้ว่า ขณะที่ฟังเราเข้าใจหรือเปล่า นี่สำคัญที่สุดเลย  ประโยชน์ชองการฟังคือเข้าใจในสิ่งที่ได้ฟัง ไม่อย่างนั้นจะเสียเวลามาก ๓ ชั่วโมงนั่งนิ่งอยู่ตรงนี้แล้วไม่เข้าใจอะไรเลย กับ ๓ ชั่วโมงที่เริ่มเข้าใจขึ้น เราจะเห็นความต่างและประโยชน์

    เพราะฉะนั้นขอให้เข้าใจ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ไม่ใช่เป็นเรื่องจำ อย่างคำว่า “อนัตตา” ไม่ต้องไปท่องเลย คำว่า “ธรรม” ก็ไม่ต้องไปท่อง ถ้าเข้าใจแล้วหมายถึงสิ่งที่มีจริง เป็นคำเดียวกับธาตุ หรือ “ธา – ตุ”  ซึ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของ และโยงใยไปถึงอนัตตา เมื่อเป็นธาตุ ก็คือเป็นอนัตตา ไม่มีใครเป็นเจ้าของ บังคับบัญชาไม่ได้ ก็เกี่ยวโยงกันไป และธรรมที่มีจริงก็ต้องเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดขึ้นก็ไม่ปรากฏ อย่างเสียง ขณะใดที่จริงก็คือขณะที่กำลังปรากฏ เมื่อดับแล้วก็หมดแล้ว ไม่มีแล้ว ก็มีอย่างอื่นเกิดขึ้นสืบต่อ ก็เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างที่มีจริงๆ

     


    หมายเลข 8569
    10 ก.ย. 2558