วิตกด้วยปัญญา


    ถ้าได้ยินว่าขณะนี้มีวิตกเจตสิกเกิด ก็จะรู้ได้เลยว่า ขณะนี้ที่คิดเพราะวิตกจรดในอารมณ์นั้น แล้วจะรู้ด้วยว่า ขณะนั้นวิตกเกิดกับปัญญา หรือไม่ใช่ปัญญา เกิดกับโลภะ หรือเกิดกับโทสะ

    เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนัตตา เพราะแม้แต่เจตสิกหนึ่งก็ขาดไม่ได้ เช่น วิตกเจตสิก หลังจากที่ทวิปัญจวิญญาณ จิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เพียง ๑๐ กุศลวิบาก ๑ อกุศลวิบาก ๑ ทั้ง ๕ ทางดับไป ใครจะยับยั้งไม่ให้วิตกเจตสิกเกิดไม่ได้

    เพราะฉะนั้นวิตกเจตสิกเป็นเท้าของโลก ไป เพราะฉะนั้นขณะที่คิด วิตกคิดตามการสะสมที่ได้สะสมมา ถ้ามีปัญญาที่เกิดจากการฟังขณะนี้เข้าใจ ก็จะเริ่มรู้ตามความเป็นจริงว่า ขณะใดก็ตามที่กำลังสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ก็มีการตรึก หรือนึกคิดในสิ่งที่ได้ฟังยิ่งขึ้น เช่นขณะที่กำลังมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ ขณะนี้กำลังเห็น วิตกจรดพร้อมกับสัญญาที่จำ ที่เคยได้ยินหรือเปล่าว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา

    นี่คือขณะนั้นเราจะรู้ว่า แม้แต่ความคิดอย่างนี้ วิตกที่จะเกิดพร้อมสัญญาจากการที่เคยฟัง ก็ประกอบด้วยความเข้าใจเพียงเล็กน้อยในขั้นต้น คือ เพียงได้ยินว่า ขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ กำลังปรากฏให้เห็น แต่ยังไม่รู้จริงๆ ว่า สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นเพียงธรรม หรือธาตุอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นใดเลยทั้งสิ้น ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นแต่เพียงสิ่งหนึ่งซึ่งมีจริง ที่สามารถจะปรากฏว่ามีจริง เฉพาะเมื่อกำลังปรากฏ ค่อยๆ ไถ่ถอนความเป็นเรา และเห็นตัวเรา หรือเห็นคนนั้น เห็นคนนี้ เห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ โดยเพิ่มการละความติดข้อง เพราะรู้ว่า เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ถ้าอย่างนี้ก็เป็นวิตกที่ถูก เป็นกุศลวิตก เป็นสัมมาสังกัปปะ

    คำที่ได้ยินได้ฟังทุกคำ ถ้าสามารถประมวลไว้อย่างมั่นคง เป็นปัจจัยที่จะทำให้นึกได้บ่อยๆ แต่ถ้าเรามีเรื่องอื่นที่ต้องคิดไตร่ตรองมาก วิตกก็เป็นไปตามความจำในเรื่องอื่น

    เพราะฉะนั้นเมื่อวานนี้ วิตกทำหน้าที่อย่างที่กล่าวแล้วเกือบจะทุกขณะจิต แล้วจำได้ไหม เพื่อที่จะไม่เยื่อใยว่า แม้แต่วิตกที่ดับไปแล้ว ก็ไม่ใช่วิตกในขณะนี้ คือ การคิดไตร่ตรองในคลองของธรรมที่ได้ฟัง เป็นไปได้มากมายกว้างขวาง เพียงไม่ลืมสิ่งที่ได้ฟัง แต่ก็ห้ามไม่ได้ เพราะว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา คุ้นเคยกับสิ่งใดมาก ก็จำ และคิดถึงสิ่งนั้น แสดงว่าเราไม่ได้คุ้นเคยกับธรรมมากพอที่จะระลึกได้บ่อยๆ จนสามารถที่จะปฏิปัตติ เข้าถึงสภาพที่กำลังปรากฏ ด้วยความเห็นที่ถูกต้อง ตรงตามที่ได้ยินได้ฟัง เพราะว่าได้ยินได้ฟังอย่างนี้ และมีความเข้าใจอย่างนี้ แต่ยังไม่มั่นคงพอ เพียงแต่สะสมความมั่นคง ที่จะทำให้วิตกไม่ไปที่อื่น แต่วิตกค่อยๆ มาจรดที่ลักษณะของธรรมที่กำลังปรากฏ ก็เป็นวิตกที่เกิดจากการฟังขั้นปริยัติ มาถึงวิตกที่เป็นปฏิปัตติ ที่เป็นขั้นปฏิบัติ จนถึงปฏิเวธ


    หมายเลข 8467
    18 ก.พ. 2567