จิต - เจตสิก
ถาม ถ้าเกิดดีใจ เป็นโทสะหรือเปล่า
ท่านอาจารย์
เพราะฉะนั้น “มนัส” ก็แปลว่า “ใจ” ถ้า “สุ” ก็แปลว่า “ดี” “มนัส” ก็แปลว่า “ใจ” เพราะฉะนั้นในขณะนั้นที่ใจดี สบาย เป็นโสมนัส สุ กับ มนัส ภาษาบาลีเมื่อรวมกันก็แปลงเป็น สระ โอ ก็เป็น “โสมนัส” มาจาก สุ กับ มนัส โสมนัสก็เป็นความรู้สึก ความรู้สึกไม่ใช่จิต ความรู้สึกเป็นเจตสิก
เพราะฉะนั้นวันนี้ เราก็จะแยกจิตกับเจตสิกออกจากกัน ให้รู้ว่าขณะใดที่จิตเกิด ขณะนั้นต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย แล้วเราจะได้ดูว่า อะไรบ้างเป็นเจตสิก อย่างจิตเป็นสภาพที่รู้อย่างเดียว คือ เห็น หรือได้ยิน หรือคิด นอกจากนั้นแล้วเป็นเจตสิกทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นความดีใจ สบายใจ เป็นเจตสิก ความเสียใจ ความไม่ชอบใจก็เป็นเจตสิก ความขุ่นเคืองใจก็เป็นเจตสิก ความติดข้อง ความรัก จะรักลูก รักเพื่อน รักประเทศชาติก็เป็นเจตสิกเหมือนกัน
ผู้ฟัง
ท่านอาจารย์
ผู้ฟัง
ท่านอาจารย์ จิตกับเจตสิกเกิดด้วยกัน และดับพร้อมกันด้วย แยกกันไม่ได้เลย ถ้าเรียนทางโลก เขาอาจจะบอกเราว่า น้ำประกอบด้วยอะไรบ้างถึงเป็นน้ำ ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นจิตจะต้องมีเจตสิกอะไรเกิดร่วมด้วยแต่ละขณะที่จิตนั้นเกิด ที่จะให้จิตเกิดอย่างเดียวลอยๆ ลำพังไม่มีอย่างอื่นเกิดด้วยไม่ได้ จะต้องสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมอีกอย่างหนึ่งซึ่งเกิดกับจิต
ผู้ฟัง
ท่านอาจารย์
เพราะฉะนั้นกำลังนอนหลับมีจิตไหมคะ ต้องมี และมีเจตสิกด้วยหรือเปล่า ต้องมีค่ะ คือ ต้องจำไว้เลยว่า สภาพธรรมที่จะเกิดขึ้นอย่างเดียวลอยๆ ตามลำพังไม่มี ต้องมีสภาพธรรมที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น
ผู้ฟัง
ท่านอาจารย์
ผู้ฟัง
ท่านอาจารย์
ผู้ฟัง
ท่านอาจารย์
ผู้ฟัง
ท่านอาจารย์
เพราะฉะนั้นรูปที่ยังเหลืออยู่ก็ไม่ใช่รูปอย่างนี้แล้ว ต้องเป็นรูปที่แข็งเหมือนท่อนไม้ แล้วต่อไปก็มีอุตุที่ทำให้รูปนั้นเน่าเปื่อยไป แต่เวลานี้ที่รูปยังไม่เน่าเปื่อยก็เพราะมีรูปที่เกิดจากกรรม มีรูปที่เกิดจากจิต มีรูปที่เกิดจากอุตุ มีรูปซึ่งเกิดจากอาหาร ทำให้รูปของคนมีชีวิตต่างจากรูปของคนที่ไม่มีชีวิต