ชื่อกับตัวจริงของธรรม


    ที่เราเคยพูดมาแล้วว่า “ไม่มีตัวตนเลย” แต่สภาพธรรมนั้นมี ถ้าไม่มีสภาพธรรม ก็จะมีเรานั่งอยู่ที่นี่ไม่ได้ แต่เมื่อมีสภาพธรรมแล้ว ไม่รู้ว่า ธรรมเป็นธรรม ก็เลยยึดถือธรรมนั้นว่าเป็นเรา  เช่น เห็น ขณะนี้กำลังเห็น ก่อนฟังพระธรรมก็เป็นเราแน่ๆที่เห็น แต่พระธรรมแสดงว่า “ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา” ไม่มีใครเป็นเจ้าของการเห็น การเห็นเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วก็มีการได้ยิน คนละขณะ

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า สภาพธรรมจริงๆนั้นมี อย่าไปเข้าใจผิดว่า เป็นเรา ในขณะนี้ที่กำลังฟังมีความเพียร แต่ว่าเป็นความเพียรทางใจ จนกว่าจะถึงขณะที่สามารถอบรมปัญญา ความรู้เพิ่มขึ้นๆ จนพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้าได้ว่า ที่ตรัสไว้ไม่ผิด เช่น สภาพธรรมในขณะนี้กำลังเกิดขึ้นและดับไป ทางตากำลังเกิดแล้วก็ดับ ขณะที่เห็น ทางหู ขณะที่กำลังได้ยิน สภาพที่ได้ยินต้องเกิดขึ้นและก็ดับ

    นี่คือชีวิตประจำวันที่แสดงให้เห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยง  เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ต้องเข้าใจจุดนี้จริงๆ ก่อน ให้แน่ใจจริงๆว่า ในพระพุทธศาสนาไม่มีตัวตน ไม่มีเรา มีแต่สภาพธรรม ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้นถ้าเรายังหลงติดยึดมั่นในตัวเรา ความทุกข์จะมากเหลือเกิน อยากให้เราเป็นอย่างนี้ อยากให้เราเป็นอย่างนั้น แต่ว่าใครจะเป็นอย่างไหนก็แล้วแต่บุญกรรมที่ทำมาทั้งหมด ถ้ารู้ความจริงอย่างนี้ก็รู้ว่า ไม่มีใครจะไปบังคับบัญชาอะไรได้เลยสักอย่างเดียว  แต่สามารถอบรมเจริญปัญญารู้สิ่งที่กำลังปรากฏจนกระทั่งเห็นว่า ไม่ใช่เราจริงๆ

    นี่คือจุดมุ่งหมายที่สุดที่เรามานั่งฟังตั้งแต่เดี๋ยวนี้ และก็อาจจะฟังต่อไปอีก เพื่อจะละคลายการติด การยึดมั่นความสำคัญในตัวตนลง ซึ่งถ้าไม่มีตัวเราจะสบายและเบากว่ามีตัวเรา เพราะว่าเวลาโกรธเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง  พอเป็นเราโกรธเท่านั้น รู้สึกหนัก นี่เราโกรธ ถ้ารู้ว่าโกรธก็เกิดขึ้นเป็นของธรรมดากับทุกคน แล้วก็หมดด้วย ไม่มีใครที่โกรธแล้ว ความโกรธนั้นไม่หมด แล้วความโกรธก็ไม่ใช่เรา

    ขณะนี้ทุกคนมีชื่อ และมีความสำคัญในชื่อ ถ้าเขาเรียกชื่อเราไม่เพราะ อาจจะเติมคำหน้าคำหลังก็ตามแต่ เราก็โกรธเหลือเกินว่าทำไมเรียกเราอย่างนี้  แต่ถ้าเขาเรียก คุณ คุณนาย คุณหญิง หรือเรียกยศถาบรรดาศักดิ์ใส่เข้าไป คนที่ไม่รู้จักธรรมจริงๆ ก็อาจจะลืม เผลอไป รู้สึกว่ามีความสำคัญ มีความหมายเหลือเกิน กับเพียงคำที่เกิดจากเสียงที่มาประกอบคำข้างหน้าหรือข้างหลังเราเท่านั้นเอง

    นี่คือความติดแม้ในชื่อ เพียงชื่อ แต่ความจริงเป็นสภาพธรรมทั้งหมดเลยที่นั่งอยู่ที่นี่ แต่ถ้าไม่อาศัยชื่อ เราไม่รู้จะเรียกอย่างไร ไม่รู้จะหมายความถึงสภาพธรรมไหน เพราะฉะนั้นชื่อนี้เป็นแต่เพียงคำสมมติเรียกสิ่งที่มีจริงๆ เพื่อให้เข้าใจ

    อันนี้ต้องแยกให้ออก สภาพที่มีจริงๆ เป็นปรมัตถธรรม แต่ว่าชื่อที่เราใช้เรียก ไม่จริง ไม่มี แต่เป็นคำที่เราจำเป็นต้องใช้ เพื่อให้รู้ว่า เราหมายความถึงสภาพธรรมอะไร

    ตอนนี้มีอะไรสงสัยไหมคะ เรื่องชื่อกับเรื่องธรรมจริงๆ  อย่างได้ยิน ไม่มีชื่อ ได้ยินไม่ได้ชื่อคุณไข่หรือคุณไก่ หรือเห็น ก็เป็นสภาพธรรมที่ไม่มีชื่อ ไม่มีฝรั่ง ไม่มีจีน ไม่มีไทย ไม่มีแขก ไม่มีพม่า ไม่มีปลา ไม่มีนก การเห็นเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป การเห็นมีจริงๆ  การเห็นอยู่ตรงไหน ขณะนั้นเป็นสภาพธรรมที่เป็นจริง มีจริงอย่างนั้น แล้วเราก็มีตั้งชื่อทีหลังที่จะรู้ว่าอะไร เห็นที่ไหน แต่จริงๆแล้วก็เป็นสภาพธรรมทั้งหมด ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป และสภาพธรรมที่เกิดดับ ไม่ใช่เพียงแค่วันนี้หรือเมื่อวานนี้ นานแสนนานมาแล้ว แล้วก็ยังมีต่อไปอีก แต่ไปอย่างที่ไม่รู้สึกตัวเลย อย่างวันนี้ เมื่อกี้กับเดี๋ยวนี้ก็คนละขณะแล้ว เห็นเมื่อกี้ ได้ยินเมื่อกี้นี้มีครบ เรากำลังรับประทานอาหาร ลิ้มรสก็มี ชอบไม่ชอบก็มี เห็นก็มี คิดก็มี ดับหมด

    เพราะฉะนั้นขณะนี้ก็กำลังเป็นอย่างนั้น คือ ทุกๆขณะผ่านไป โดยที่ว่า ไป ไป เรื่อยๆ ถึงแสนโกฏิกัปป์ และก็ต่อไปอีกเรื่อยๆ ๆ ๆ นับไม่ถ้วน จะเป็นอย่างนี้ เหมือนอย่างนี้เรื่อยๆ ถ้าปัญญาไม่เกิดแล้วไม่รู้ความจริงเพื่อละความยึดถือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้นต้องแยกสภาพธรรมที่มีจริงๆ กับชื่อเสียงต่างๆ ซึ่งไม่จริง


    หมายเลข 8076
    6 ก.ย. 2558