ถ้าไม่มีปัญญา ไม่มีทางตั้งต้น


    ถาม   เราควรจะทำตัวอย่างไร จะปฏิบัติอย่างไรถึงจะมีสติ

    ท่านอาจารย์    ค่ะ ยอมรับว่าเป็นเรื่องของปัญญาหรือเปล่าคะ ถ้าไม่มีปัญญาแล้ว เรื่องทั้งหมดก็ไม่มีทางตั้งต้น

    ผู้ฟัง แสดงว่าพื้นฐานต้องมาจากปัญญาก่อน

    ท่านอาจารย์    ต้องมีปัญญา ความรู้ และบางคนก็มาถามว่า ทำอย่างไรถึงจะไม่โกรธ หรือทำอย่างไรถึงจะเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ เป็นเรื่องแต่จะทำทั้งหมด คล้ายๆกับมาขอวิธีทำ แต่ถ้าดิฉันจะบอกวิธี เขาก็จะบอกทันทีว่า เขาทำไม่ได้ เพราะอะไรคะ ดิฉันจะบอกว่า “ขอให้ศึกษาพระธรรม” เท่านี้ทำไม่ได้ ทนไม่ได้ จะเอาเดี๋ยวนี้ จะเอาวิธี

    แต่วิธีจริงๆ คือ ต้องศึกษาพระธรรมให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ให้มีปัญญาเกิดขึ้น ถ้าบอกวิธีแล้วทำไมไม่ทำ คือ วิธีก็คือศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ไม่ใช่ไปทำอย่างอื่น แต่เขาไม่ต้องการวิธีอย่างนี้ คือ คนเรายุคนี้สมัยนี้จะปฏิเสธการศึกษา ต้องการอย่างเดียว คือ “ทำ” แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่มีประโยชน์เลยใน ๔๕ พรรษาที่ทรงแสดงหลังจากการตรัสรู้ เพราะว่าไม่ได้ให้คนอื่นทำ แต่ว่าทรงแสดงพระธรรมให้เกิดความเข้าใจ คนสมัยโน้นเมื่อฟังพระธรรมแล้วชื่นชมในพระภาษิต ที่เขาไม่มีโอกาสได้ยินได้ฟัง ถ้าบุคคลที่พูดนั้นไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็พูดเรื่องของธรรมดา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โลภ โกรธ หลง แต่พูดเรื่องจริง เรื่องสิ่งที่มีจริงให้เขาเข้าใจในสภาพที่ไม่ใช่ตัวตน ในเรื่องของการมีความรู้ในลักษณะของสภาพธรรมนั้นเพิ่มขึ้น

    แต่ถ้ามีใครบอกให้ทำ รู้สึกจะชอบ แล้วก็คิดว่าจะทำได้ แต่ความจริงไม่มีทาง เพราะเหตุว่าตราบใดที่ยังเป็นเรา จะต้องมีความทุกข์ที่เกิดจากการยึดถือในความเป็นเรา แต่ถ้ารู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเกิดตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยากจะป่วยไข้ แต่ก็มีเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดป่วยไข้ขึ้น ก็เป็นของธรรมดา ทำไมคนอื่นป่วยได้ แล้วเราจะป่วยไม่ได้ ในเมื่อเราก็มีร่างกาย มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกายเหมือนกัน แต่เมื่อถึงคราวหรือถึงเวลาของใครจะเป็นอย่างไร ตามเหตุ ก็ต้องเป็นอย่างนั้น เท่านั้นเอง ทุกคนมีสุขมีทุกข์สลับกันไป เขาทุกข์ได้ เราก็ทุกข์ได้ เขาสุขได้ เราก็สุขได้ เพียงแต่เหตุปัจจัยที่จะเกิดทุกข์สำหรับเรายังไม่มี สำหรับเขายังไม่มีเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดสุข แต่เขาก็ต้องมีคนเราจะมีสิ่งที่ไม่เกิดดับไม่ได้ ไม่มีอะไรที่เที่ยงที่ยั่งยืน  มีใครบ้างที่เกิดมาแล้วไม่ตาย แล้วมีใครบ้างที่รู้ว่า กำลังตายอยู่ทุกขณะ

    เพราะฉะนั้นความตายก็เป็นของธรรมดามากยิ่งขึ้น ถ้าเรารู้ถึงการเกิดดับของจิตแต่ละขณะ เพราะเหตุว่าชีวิตเราที่เรารู้ว่า อายุยืนยาวมาถึงเดี๋ยวนี้และจะต่อไปอีกกี่ปี แท้ที่จริงแล้วที่เรียกว่า เรายังมีชีวิตอยู่ ก็เมื่อจิตเกิดขึ้นเท่านั้นเอง ถ้าจิตดับแล้วไม่เกิดอีก นั่นคือตาย

    เพราะฉะนั้นที่เรามีชีวิตอยู่โดยที่มีจิตเกิดและก็ดับ แล้วก็เกิดขึ้นอีก แล้วก็ดับ เพราะว่ายังไม่ถึงคราวที่จะจากโลกนี้ ก็มีปัจจัยที่จิตเมื่อวานนี้ก็ดับไปหมด แต่จิตวันนี้ก็มี จิตวันนี้ดับ จิตพรุ่งนี้ก็ยังมีอีก เพราะเหตุว่ามีเหตุปัจจัยที่จะให้จิตเกิดดับ

    ถ้าเรารู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแล้ว กำลังเกิดตายอยู่ทุกขณะ เพราะฉะนั้นความตายโดยสมมติที่เราเรียกว่า “สมมติมรณะ” ก็เป็นเพียงแต่การสิ้นชีวิตจากโลกนี้ จากความเป็นบุคคลนี้สู่ความเป็นบุคคลใหม่ในโลกใหม่ตามกรรมเท่านั้นเอง ไม่มีทางที่ออกไปจากสังสารวัฏฏ์ได้ เพียงแต่เปลี่ยนไปแต่ละภพแต่ละชาติ สุขบ้างทุกข์บ้างไปแต่ละวันตามกรรม ซึ่งเกิดจากการเห็นบ้าง การได้ยินบ้าง การคิดนึกบ้างเท่านั้นเอง เหมือนกับสภาพธรรมที่ต้องทำงานอยู่ตลอดเวลา คือ ต้องเห็น จะอยากเห็นหรือไม่อยากเห็น เวลานี้ก็เห็นแล้ว ห้ามไม่ให้เห็นก็ไม่ได้ จะอยากได้ยินหรือไม่อยากได้ยิน ก็ได้ยินแล้ว

    เพราะฉะนั้นก็คือสภาพธรรมแต่ละอย่างซึ่งเกิดแล้วก็ดับไป แต่ความไม่รู้ก็ทำให้ยึดถือว่า เป็นเราเห็น เราได้ยิน และก็ยังจำเรื่องราวจากสิ่งที่เห็น จากสิ่งที่ได้ยิน เป็นทุกข์เดือดร้อนเป็นวันๆ เดือนๆก็ได้ ด้วยความไม่รู้ว่า แท้ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรเลย เหมือนกำมือที่ว่างเปล่า กำไว้แน่น พอเปิดออกมาก็ไม่มีอะไรเลย

    เพราะฉะนั้นจิตขณะหนึ่งซึ่งดับก็ดับไป หมดไป แล้วก็มีขณะต่อไปที่เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป แล้วก็หมดไปแต่ละขณะ


    หมายเลข 8057
    6 ก.ย. 2558