มานะกับผ้าเช็ดธุลี ๒


    เมื่อกี้นี้ทุกคนได้ยินเสียง ขณะนี้ก็กำลังได้ยินทีละคำผ่านไปๆ เสียงไม่ใช่สิ่งที่ใครจะเก็บห่อเอาไว้เป็นของเรา หรือได้ยินเมื่อกี้นี้ก็หมดไปจริงๆ เราอยู่ที่ไหน ถ้ามีความรู้สึกสุขสักนิดหนึ่งก็หมดไปอีกแล้ว ถ้าอาหารนี้อร่อยมาก ประเดี๋ยวเดียวก็หมดแล้ว ไม่มีอะไรซึ่งจะคงอยู่ได้แน่นอนเลย เพราะฉะนั้นของเราจริงๆ ให้ดูมาตั้งแต่เกิด มีอะไรเป็นของเราจริงๆ บ้าง ความสนุกสนานตั้งแต่เด็กสนุกมาก ผ่านไปหมด เหลือแต่ความจำ ซึ่งความจำถ้าไม่คิดถึงก็ไม่มี เรื่องนั้นก็ไม่มีเลยในความจำของเรา ทุกวันก็ผ่านไปๆ หมดไป

    เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะสุขจะทุกข์ก็เพียงชั่วขณะที่เกิดแล้วก็หมด ถ้าเห็นความจริงอย่างนี้จริงๆแล้ว  เราจะมีความสำคัญในขันธ์ไหน ในรูปขันธ์ ก็เกิดแล้วก็ดับไป ในเวทนาขันธ์ ความรู้สึกก็เกิดแล้วก็ดับไป ในสัญญา ความจำ ถ้าเราไม่จำ เรื่องนั้นเรื่องนี้ เราก็ไม่คิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ เรื่องนั้นเรื่องนี้ก็หมดไป ตอนที่เรื่องนั้นเกิดขึ้นเราก็รู้สึกว่าสำคัญเหลือเกิน แต่พอไม่นึกถึง หายไปได้อย่างไรเรื่องที่ว่าสำคัญ ไม่เห็นจะเดือดร้อนอีกต่อไป เพียงไม่คิดถึงเท่านั้นก็หมดความสำคัญไปแล้ว

    เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นเพียงชั่วขณะจิตที่เรามีชีวิตอยู่ในโลกทีละขณะๆ และตราบใดที่ยังอยู่ เราก็ไปยึดถือว่าเป็นเรา เป็นใครก็ตามแต่ จากโลกนี้ไปแล้วก็จะเป็นคนนั้นอีกต่อไปไม่ได้ จะต้องเกิดใหม่แล้วก็เป็นคนใหม่ทันที

    เพราะฉะนั้นความเป็นผ้าเช็ดธุลีก็คือว่าไม่เดือดร้อน และไม่มีความสำคัญที่จะไปคิดเบียดเบียน หรือจะไปโกรธไปเกลียดไปชังใคร ซึ่งมีการกระทำที่ไม่ถูกใจเรา หรืออาจจะไม่ดีต่อเราก็ได้ คือ ไม่ว่าใครจะทำอะไร เราก็สามารถมีจิตใจที่สม่ำเสมอและไม่หวั่นไหว ไม่เดือดร้อน

    นั่นคือความหมายของผ้าเช็ดธุลี ซึ่งผู้ที่ประกาศตนว่า ท่านเป็นเสมือนผ้าเช็ดธุลี เดาได้ไหมว่าใคร ถ้ายังไม่ได้ฟังพระธรรม จะนึกไม่ถึงเลยว่า ผู้ที่ประกาศว่าท่านเป็นเสมือนผ้าเช็ดธุลีนั้นก็คือ พระอัครสาวก ท่านพระสารีบุตร ซึ่งเป็นผู้เลิศในทางปัญญา

    นอกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ไม่มีใครที่จะมีปัญญาเท่ากับท่านพระสารีบุตร คือ ท่านมีปัญญามากเป็นพระอัครสาวก แต่เทียบกับพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าย่อมไม่ได้แน่นอน บารมีที่บำเพ็ญมาที่จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระสารีบุตรนั้นก็ห่างไกลกัน  สำหรับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ซึ่งเป็นผู้ยิ่งด้วยปัญญานั้น ทรงบำเพ็ญพระบารมี ๔ อสงไขยแสนกัป ท่านพระสารีบุตรบำเพ็ญพระบารมี ๑ อสงไขยแสนกัป แต่ท่านเป็นผู้ประกาศบันลือสีหนาทว่า ในความความรู้สึกของท่าน ท่านเป็นเสมือนผ้าเช็ดธุลี

    แล้วเราละคะ ไม่ได้มีปัญญาอย่างท่านพระสารีบุตร แล้วเราก็ไม่อยากเป็นผ้าเช็ดธุลี แต่ถ้าเรามีปัญญาจริงๆ เราก็อยากเป็นผ้าเช็ดธุลีแน่ๆค่ะ คือสบาย ไม่หวั่นไหว ใครจะทำอะไรก็เป็นเรื่องของเขา และเราก็มีจิตที่สม่ำเสมอ เป็นมิตรกับเขาได้ ไม่มีศัตรูเลย ถ้าเราไม่เป็นศัตรูกับใคร ต่อให้คนนั้นเป็นศัตรูกับเรา เราก็ยังคงไม่มีศัตรูอยู่นั่นเอง เราไม่เป็นศัตรูกับเขา


    หมายเลข 7981
    6 ก.ย. 2558