ทวิปัญจวิญญาณ - สัมปฏิจฉันนะ - สันตีรณะ


    ผู้ฟัง วิถีจิตทางปัญจทวารขณะที่เป็นทวิปัญจวิญญาณ หลังจากนั้นก็เป็นสัมปฏิจฉันนะจิต แล้วก็เป็นสันตีรณะจิต จิตทั้ง ๓ ประเภทนี้จะมีลักษณะเหมือนกันหรือไม่ เพราะว่าเป็นจิตชาติเดียวกัน คือวิบากจิต และรู้อารมณ์เดียวกันด้วย

    ท่านอาจารย์ แต่ทำกิจต่างกัน ถ้าทำกิจภวังค์ ปฏิสนธิเป็นอกุศลวิบาก ภวังคจิตเป็นอกุศลวิบาก เปลี่ยนไม่ได้เลย ภวังค์กับปฏิสนธิต้องเป็นอกุศลวิบากประเภทนั้นตลอดไป แต่เมื่อกล่าวถึงวิบากอื่นที่มีชื่อต่างออกไปเพราะเหตุว่าทำกิจต่างกัน ถามว่า สัมปฏิจฉันนจิตทำภวังคกิจได้ไหม

    ผู้ฟัง ทำไม่ได้

    ท่านอาจารย์ สัมปฏิจฉันนจิตทำสัมปฏิจฉันนกิจได้อย่างเดียว นี่แสดงให้เห็นว่าแม้เป็นวิบากแต่ต่างกันตรงที่ว่าวิบากที่ไม่ใช่วิถีจิตก็มี วิบากที่เป็นวิถีจิตก็มี สัมปฏิจฉันนะเป็นวิบากที่เป็นวิถีจิต ภวังคจิตเป็นวิบากที่ไม่ใช่วิถีจิต

    ผู้ฟัง แต่ทวิปัญจวิญญาณรับวิบาก

    ท่านอาจารย์ ทวิปัญจวิญญาณเป็นวิบากจิต

    ผู้ฟัง เพียงแต่หน้าที่จะต่างกับสัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ

    ท่านอาจารย์ แน่นอน เพราะว่าทำทัสสนกิจ คือ กิจเห็น

    ผู้ฟัง แสดงว่าสัมปฏิจฉันนะไม่เห็น

    ท่านอาจารย์ ไม่เห็น ไม่ได้ทำทัสสนกิจเลย แต่รับรู้สิ่งที่จักขุวิญญาณเห็นต่อ

    ผู้ฟัง แสดงว่าเห็นแค่ขณะเดียวเท่านั้น

    ท่านอาจารย์ ขณะเดียว คือ ทัสสนกิจ คือ จักขุวิญญาณ ไม่เช่นนั้นก็ไม่ต้องเรียกชื่อต่างๆ กันเพราะว่าเป็นจิตเหมือนกัน แต่แม้ว่าเป็นวิบาก ก็แล้วแต่ว่าทำกิจอะไร ถ้าทำทัสสนกิจก็ชื่อว่าจักขุวิญญาณ ถ้ารับรู้ต่อโดยไม่เห็นก็เป็นสัมปฏิจฉันนจิตเพราะทำสัมปฏิจฉันนกิจ ๒ จิตนี้ ทำกิจอื่นไม่ได้เลย จักขุวิญญาณต้องเห็นอย่างเดียว สัมปฏิจฉันนะก็ต้องรับรู้อารมณ์ต่อจากอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดใน ๕ ทวาร

    ผู้ฟัง ครั้งแรกแรกเข้าใจว่าการที่เราเห็น เรารู้ว่ามีเห็น เพียงแค่เห็นเกิดขึ้นขณะเดียวแต่รู้ว่ามีเห็น

    ท่านอาจารย์ เราไม่ต้องไปพูดถึงขณะจิตเลย ขณะนี้นับไม่ถ้วนว่าเท่าไหร่ ไม่ต้องนับเลยเพราะนับไม่ได้ แต่ให้ทราบว่าสภาพธรรมที่เป็นมายากลที่หลอกให้เราเข้าใจว่าเที่ยง จนกระทั่งเป็นสัตว์เป็นบุคคลต่างๆ เพราะการเกิดดับสืบต่อของจิตทีละหนึ่งขณะเอง แต่ว่าเร็วมาก ประมาณไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปคิดถึงว่าวาระไหน ขณะไหน ขณะที่กำลังเห็นขณะนี้เป็นจักขุวิญญาณหรือว่าเป็นสัมปฏิจฉันนะ หรือเป็นสันตีรณะ

    ผู้ฟัง ทางชวนวิถีเกิดถึง ๗ ขณะ เราก็ยังรู้สึกได้ว่าเขาเกิดมีขึ้น รู้สึกได้ถึงขณะที่เกิดว่าขณะนั้นเป็นโลภะ โทสะ เราพอจะสังเกตได้ แต่ว่าอย่างทางตาเห็นขณะเดียว แล้วก็ดับไปเลย แล้วยังทันสังเกตได้อยู่

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องไปนับหนึ่งขณะเลย ไม่ต้องไปคิดถึงเลยว่าขณะนี้เห็นหนึ่งขณะที่จะไปรู้ไม่ใช่แบบนั้น เพียงแต่เริ่มเข้าใจ แม้แต่เพียงจะเริ่มเข้าใจว่าขณะนี้ที่เห็นเป็นสภาพธรรมที่เป็นธาตุรู้จึงสามารถเห็นในขณะนี้ได้ เพื่อที่จะได้ว่าไม่มีเรา ไม่ใช่เราที่เห็น

    ผู้ฟัง ถ้าไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทราบได้ไหมว่าเห็นขณะเดียวจริงๆ

    ท่านอาจารย์ คงจะไม่ต้องไปนั่งคิดว่านอกจากนั้นมีใครอีก ใครรู้ได้ก็แล้วแต่ปัญญาของบุคคลนั้น

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 107


    หมายเลข 7763
    22 ม.ค. 2567