ลักษณะของจักขุปสาทรูป


    ขอกล่าวถึงลักษณะเป็นต้นของ “จักขุ” เพื่อที่จะได้ทราบว่า จักขุปสาทรูปมีลักษณะอย่างไร ที่กล่าวว่าระลึก แต่ไม่รู้ เพราะเหตุว่าไม่ได้ระลึกลักษณะของจักขุปสาทรูป เพียงแต่นึกถึงลักษณะของจักขุปสาทรูป

    ข้อความในอัฏฐสาลินี แสดงลักษณะเป็นต้นของ “จักขุ” มีข้อความว่า

    “จักขุ” มีความเป็นปสาทแห่งภูตรูป อันควรแก่การกระทบรูป ซึ่งหมายความถึง รูปารมณ์ มีสีสันวรรณะต่างๆที่ปรากฏทางตา

    ถ้าพูดถึงสีสันวรรณะ ก็อย่าคิดถึงสีแดง สีเขียว สีเหลืองอะไรนะคะ เพราะเหตุว่าทรงแสดงศัพท์ไว้หลายศัพท์ เพื่อที่จะให้เข้าใจว่า แม้จะกล่าวว่า แสง หรือแม้จะกล่าวว่า สี ก็ตาม ก็หมายความถึงสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา

    เช่น ในขณะนี้ ในห้องนี้มีแสง หรือมีสี แสงมีไหมคะ ถ้าไม่มี ก็ไม่เห็น ใช่ไหมคะ แต่ไม่จำเป็นที่จะต้องนึกถึงแสง หรือว่านึกถึงสี  เขียว ดำ แดงต่างๆ แต่สิ่งที่ปรากฏทางตา ยังไม่ทันต้องนึกถึงคำว่า แสง หรือสี แต่ว่าไม่ว่าจะแสง หรือสีก็ตาม ปรากฏทางไหน ไม่ปรากฏทางหู ไม่ปรากฏทางจมูก ไม่ปรากฏทางลิ้น ไม่ปรากฏทางกาย แต่ปรากฏทางตา

    เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องสงสัย หรือกังวลจนเกินไปนัก ในเรื่องคำที่เคยใช้ หรือว่าเคยเข้าใจ เช่น จะใช้แสงดี หรือจะใช้สีดี หรือว่าจะใช้วัณณะ หรือจะใช้คำว่า รูปะ หรือรูปารมณ์ หมายความถึงสิ่งที่ปรากฏทางตา แล้วแต่ว่าวิชาการสาขาไหนจะใช้ศัพท์อะไรก็ตามแต่ แต่สภาพธรรมที่เป็นจริง คือ มีสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตา เพราะกระทบกับจักขุปสาท

    ด้วยเหตุนี้ “จักขุ” มีความเป็นปสาทแห่งภูตรูป อันควรแก่การกระทบรูป คือ รูปารมณ์ หรือสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นลักษณะบ้าง มีความเป็นปสาทแห่งภูตรูป อันมีสมุฏฐานแต่กรรม ซึ่งมีความประสงค์จะดู เป็นเหตุ เป็นลักษณะบ้าง

    อันนี้แสดงจนกระทั่งถึงสมุฏฐานที่ก่อตั้งให้เกิดจักขุปสาทว่า มีสมุฏฐานแต่กรรม ซึ่งมีความประสงค์จะดูเป็นเหตุ เป็นลักษณะ

    ทุกท่านมีความประสงค์ที่จะดู ยังไม่มีความประสงค์ที่จะพ้นจากรูปทั้งหมด ให้เหลือแต่เฉพาะอรูป คือ นามขันธ์ เพราะฉะนั้นก็จะต้องเกิดในภูมิที่มีขันธ์ ๕ คือ ต้องมีทั้งนามและรูปเกิดขึ้นพร้อมกัน และอาศัยกันเป็นไป ไม่มีใครในโลกนี้ ในภูมินี้ ซึ่งเป็นภูมิของขันธ์ ๕ ที่จะเกิดมาแล้วปราศจากรูป มีแต่เฉพาะนาม

    เพราะฉะนั้นนามธรรมและรูปธรรมอาศัยกันและกัน เพราะว่าแม้จิตจะเป็นสภาพรู้ แต่เมื่อไม่มีจักขุปสาท ไม่อาศัยจักขุปสาท ก็ไม่เห็นอะไร ถ้าไม่มีรูป คือ โสตปสาท ก็จะไม่ได้ยินอะไร

    เพราะฉะนั้นจักขุปสาท ขณะนี้ที่กำลังเห็น เป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่ง เป็นปัจจัยโดยเป็นนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยซึ่งเป็นที่อาศัย เป็นอินทรีย์ เพราะเป็นใหญ่ เป็นประธานในการที่จะเกิดการเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา

    มีความชักมาที่รูป เป็นรสะ คือ เป็นกิจ มีความเป็นที่รองรับแห่งจักขุวิญญาณ เป็นปัจจุปัฏฐาน คือ เป็นอาการปรากฏ มีภูตรูปอันเกิดแต่กรรมซึ่งประสงค์จะดู เป็นเหตุ เป็นปทัฏฐาน

    นี่คือลักษณะของจักขุปสาท ซึ่งจะรู้ลักษณะของจักขุปสาทได้ตรงตามความเป็นจริง โดยความเป็นปสาทแห่งภูตรูป อันควรแก่การกระทบกับรูป เป็นลักษณะ ไม่ใช่กระทบอย่างอื่นเลย ในขณะที่กำลังเห็นในขณะนี้เอง มีจักขุปสาทซึ่งกระทบกับรูป เพราะฉะนั้นจึงเป็นรูปที่กระทบได้ แต่เห็นไม่ได้


    หมายเลข 7545
    21 ส.ค. 2558