ถ้าไม่ศึกษาพระธรรมโดยละเอียด จะมองไม่เห็นตัวเองตามความเป็นจริง


    ซึ่งจะขอกล่าวถึงลักษณะของผู้ที่มีความปรารถนาลามกลักษณะอื่น ๆ ซึ่งพระธรรมทั้งหมดนี้จะเกื้อกูลอุปการะ ถ้าบุคคลใดยังมีกิเลสซึ่งแฝงลึกอยู่ในจิตใจ ซึ่งถ้าไม่ศึกษาพระธรรมโดยละเอียด คงจะไม่มีใครรู้จักตัวเองตามความเป็นจริง มักจะมองเห็นบุคคลอื่นมากกว่าตัวเอง แต่พระธรรมที่ทรงแสดงไว้ นอกจากจะเป็นเรื่องของสภาพธรรมที่ชัดเจน แล้วยังไม่เลือกว่า จะเป็นแต่เฉพาะบุคคลอื่น แม้แต่ตัวเอง ถ้ารู้ว่า ขณะใดเป็นอกุศล การรู้สภาพธรรมถูกต้องด้วยปัญญาตามความเป็นจริง ย่อมเห็นโทษของอกุศลนั้น แล้วละได้

    ข้อความในสัมโมหวิโนทนี อรรถกถา ขุททกวัตถุวิภังคนิทเทส ปาปิจฉตานิทเทส อธิบายความปรารถนาลามก ซึ่งทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ให้บุคคลอื่นเลื่อมใส มีข้อความว่า

    สำหรับคนที่ไม่มีศรัทธา แต่พอถึงวันที่พวกมนุษย์ไปวัด ก็ปัดกวาดลานพระเจดีย์ ล้างอาสนะ เกลี่ยทราย รดน้ำมหาโพธิ์

    ปกติไม่มีศรัทธาเลย แต่พอถึงวันที่พวกมนุษย์ทั้งหลายไปวัด ก็กระทำกิจซึ่งทำให้คนอื่นเห็นว่า เป็นผู้ที่มีศรัทธาในการปัดกวาดลานพระเจดีย์ ล้างอาสนะ เกลี่ยทราย รดน้ำมหาโพธิ์

    นี่ก็เป็นลักษณะหนึ่ง สำหรับบางท่าน

    แม้ผู้ทุศีล ก็ยังเข้าไปหาพระวินัยธร และเล่าเรื่องที่รังเกียจว่า บางครั้งเดินไปทำให้โคตกใจ ทำให้หญ้าขาด หรือว่าบางครั้งก็เผลอสติ บ้วนน้ำลาย ทำให้แมลงซึ่งอยู่ในที่นั้นย่อมตาย เพราะฉะนั้น ก็กราบเรียนถามพระวินัยธรว่า เป็นอกุศลกรรมหรือเปล่า ซึ่งพระวินัยธรท่านก็ต้องยกเจตนาขึ้นว่า

    ในขณะนั้นมีเจตนาหรือไม่ เมื่อไม่มีเจตนาที่จะฆ่าสัตว์ ขณะนั้นก็ไม่ใช่อกุศลกรรม เพราะฉะนั้นบุคคลนั้นก็ดีใจว่า ตัวเองได้กระทำสิ่งที่ปราศจากเจตนา

    เพราะฉะนั้นก็ดูเสมือนเป็นผู้ที่สนใจในเรื่องของวินัย ถึงกับไปกราบเรียนพระวินัยธรให้ทราบถึงความประพฤติ ซึ่งก็ทำให้มนุษย์ทั้งหลายมีความเลื่อมใสว่า ท่านผู้นี้เป็นผู้ที่มีความสนใจในพระวินัย

    แม้ผู้ที่ศึกษาน้อย แต่ว่ามีความปรารถนาลามก ก็อ้างว่าบุคคลนั้น บุคคลนั้น บุคคลนั้นเป็นศิษย์

    นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งอาจจะเกิดขึ้นแก่ใคร อย่างไร ในวันไหนก็ได้ทั้งนั้น ตามการสะสมของกิเลส   

    แม้ผู้ที่ยินดีด้วยหมู่คณะ ก็ทำเป็นไม่ยินดีในหมู่คณะ ไปพักกลางวันเสียที่โคนไม้ สุดเขตแดนแห่งวิหาร

    แม้ผู้ที่เกียจคร้านก็ยังอ้างว่า มีแสงสว่างใหญ่ในเวลาจงกรมในมัชฌิมยาม

    พูดได้ทุกอย่าง จะเห็นกำลังของอกุศลว่า เวลาที่มีความปรารถนาลามกเกิดขึ้น จะมีการกระทำด้วยกาย ด้วยวาจาต่าง ๆ ที่จะให้บุคคลอื่นเลื่อมใส

    แม้ผู้ที่หลงลืมสติก็ยังอ้างว่า เรียนพระสูตรนิกายนั้น ๆ ในกาลโน้น ๆ ในสมัยโน้น ๆ ส่วนภิกษุอื่นยังปากให้ส่ายเพื่อถามปัญหา เป็นราวกะแพะ

    ก็ยังว่าคนอื่นต่อไปอีกนะคะ เวลาที่บุคคลอื่นถามปัญหา และสำหรับผู้ที่

    แม้มีจิตไม่ตั้งมั่น ก็ถามถึงเรื่องการเจริญสมถะ เช่น อุปจารสมาธิ และอัปปนาสมาธิ และแสดงว่าได้สมาบัติ

    ต้องแสดงไหมคะ ใครได้อะไร ถ้าใครแสดง น่าคิดไหมคะ แสดงทำไม จุดประสงค์อะไร หรือว่าเพื่ออะไร และโดยเฉพาะสำหรับผู้ที่กล่าวว่า การสนใจในปริยัติ ย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์ เป็นผู้ที่ย่อมสละปริยัติ เพราะว่าไม่เห็นคุณของปริยัติ

    แต่ว่าสำหรับท่านผู้ฟังจะเห็นได้ว่า การศึกษาธรรมโดยละเอียด จะทำให้ระลึกถึงข้อความที่ได้ยิน ได้ฟัง และก็ไม่ใช่เพียงระลึกถึงเท่านั้น ยังเป็นปัจจัยให้สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ พร้อมทั้งการสำเหนียก สังเกต ค่อย ๆ เกิดขึ้น จนกว่าจะเป็นปัญญาที่ถึงขั้นที่จะแทงตลอดในลักษณะที่ไม่ใช่นามธรรมและรูปธรรมได้

    ต้องค่อย ๆ เป็นไปตามปกติ ตามความเป็นจริง ตามชีวิตจริง ๆ ของแต่ละคน จึงจะเป็นการอบรมเจริญปัญญาที่ถูกต้อง

    มีข้อสงสัยอะไรบ้างคะในเรื่องนี้

     


    หมายเลข 7013
    23 ส.ค. 2558