เมื่อปัญจทวาราวัชชนจิตดับ วิญญาณจิตซึ่งเป็นชาติวิบากเกิดต่อ


    เมื่อปัญจทวาราวัชชนจิตดับไปแล้ว จักขุวิญญาณวิถีเกิดในจักขุทวารวิถี เป็นชาติวิบาก เพราะเหตุว่าเป็นผลของกรรมที่ทำให้เห็นสิ่งที่น่าพอใจ หรือไม่น่าพอใจ ถ้าเป็นผลของกุศลกรรม จักขุวิญญาณก็เป็นกุศลวิบาก ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม จักขุวิญญาณก็เป็นอกุศลวิบาก

    เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าทุกคนจะมีจักขุปสาท แต่จักขุวิญญาณเห็นอารมณ์ต่างกันตามกรรม ไม่มีใครทำให้นะคะ กรรมของตนเองเป็นปัจจัยทำให้วิบาก คือ จักขุวิญญาณเกิดขึ้น เห็นสิ่งที่น่าพอใจ หรือสิ่งที่ไม่น่าพอใจ

    ถ้าเป็นทางหู หลังจากที่ปัญจทวาราวัชชนจิตดับไปแล้ว โสตวิญญาณก็เกิดขึ้นได้ยินเสียง เป็นชาติวิบาก แล้วแต่ว่าจะเป็นกุศลวิบากหรืออกุศลวิบาก

    ทางจมูกก็เช่นเดียวกัน บางครั้งได้กลิ่นซึ่งไม่น่าพอใจเลย ขณะนั้นเป็นฆานวิญญาณอกุศลวิบาก ถ้าขณะใดที่ได้กลิ่นที่หอม น่าพอใจ ขณะนั้นก็เป็นฆานวิญญาณกุศลวิบาก

    ถ้าเป็นทางลิ้นก็เช่นเดียวกัน ได้รสที่กลมกล่อม รสที่ประณีตในขณะใด ขณะนั้นก็เป็นชิวหาวิญญาณกุศลวิบาก ถ้าได้รสที่ไม่ประณีต เผ็ด ขม ขื่น ฝาด ไม่น่าพอใจ ขณะนั้นชิวหาวิญญาณก็เป็นอกุศลวิบาก

    ทางกายก็เช่นเดียวกัน มีการกระทบเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว อยู่เสมอ ถ้าขณะใดกระทบสัมผัสสิ่งที่แข็งเกินไป กระด้าง แรง ขณะนั้นก็เป็นอกุศลวิบาก ถ้าขณะใดกระทบสัมผัสสิ่งที่น่าพอใจ ขณะนั้นก็เป็นกุศลวิบาก

    เพราะฉะนั้นทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ดวง ได้แก่ จักขุวิญญาณ ๒ ดวง คือ กุศลวิบาก ๑ อกุศลวิบาก ๑ โสตวิญญาณ ๒ ดวง คือ กุศลวิบาก ๑ อกุศลวิบาก ๑ ฆานวิญญาณ ๒ ดวง คือ กุศลวิบาก ๑ อกุศลวิบาก ๑ ชิวหาวิญญาณ ๒ ดวง คือ กุศลวิบาก ๑ อกุศลวิบาก ๑ กายวิญญาณ ๒ ดวง คือ กุศลวิบาก ๑ อกุศลวิบาก ๑

    ทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ดวง เป็นวิบาก


    หมายเลข 6950
    24 ส.ค. 2558