รูป ๘ รูปที่เป็นอินทรีย์


    สภาพธรรมซึ่งเป็นอินทรีย์นี้   ท่านผู้ฟังคงเคยได้ยินว่า   มีหมวดธรรมที่แสดงลักษณะของอินทรีย์ ๒๒   แต่ว่าสำหรับอินทรียปัจจัยแล้ว ได้แก่  อินทรีย์ ๒๐

    ก่อนอื่นก็ขอกล่าวถึงอินทรียะ ๒๒   เพื่อที่จะให้ทราบว่า   ได้แก่สภาพธรรมใด   อินทรียะ ๒๒  คือ

    ๑. จักขุนทรีย์  ได้แก่  จักขุปสาท  เป็นรูปธรรม   เป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่  โดยเป็นปัจจัยให้เกิดจักขุวิญญาณจิตและเจตสิกที่เกิดพร้อมกับจักขุวิญญาณจิต

    ในขณะนี้เองหรือเปล่า   อินทรีย์ก็ไม่พ้นจากขณะนี้เลย

    จักขุนทรีย์  ได้แก่  จักขุปสาทซึ่งเป็นสภาพธรรมซึ่งเป็นรูปธรรมที่เป็นใหญ่   โดยเป็นปัจจัยให้เกิดจักขุวิญญาณจิต   ซึ่งกำลังเห็น   พร้อมกับเจตสิกซึ่งเกิดร่วมกับจักขุวิญญาณจิต

    ถ้าปราศจากจักขุนทรีย์แล้ว  จะไม่มีการเห็นเกิดขึ้นได้เลย   เพียงเท่านี้ก็เห็นความเป็นใหญ่ของจักขุปสาทแล้ว  ใช่ไหมคะ   โดยที่อาจจะลืมคิดว่า   ทุกวัน ๆ ที่เห็นนี้   ไม่ได้คิดเลยว่า   สภาพธรรมใดเป็นปัจจัย   โดยเป็นใหญ่ให้เกิดการเห็นขึ้น   แต่เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงแสดง   ก็ทำให้ระลึกได้ว่า การเห็นทุกขณะซึ่งมีอยู่เป็นประจำนั้น   ต้องอาศัยจักขุปสาท   เป็นรูปธรรม   เป็นจักขุนทรีย์   เป็นใหญ่จริง ๆ   เพราะเหตุว่าถ้าขาดรูปนี้แล้ว  จะไม่มีการเห็นใด ๆ ได้เลย

    อินทรียะ ที่ ๒ คือ

    ๒. โสตินทรีย์  ได้แก่  โสตปสาทรูปซึ่งเป็นใหญ่   โดยเป็นปัจจัยแก่โสตวิญญาณจิต ๒ ดวง  พร้อมกับเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยในขณะที่ได้ยินเสียง

    ๓. ฆานินทรีย์ ได้แก่ ฆานปสาทเป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่  โดยเป็นปัจจัยแก่ฆานวิญญาณจิต ๒ ดวง  และเจตสิกซึ่งเกิดร่วมด้วย

    ๔. ชิวหินทรีย์  ได้แก่ ชิวหาปสาท   เป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่  โดยเป็นปัจจัยแก่ชิวหาวิญญาณจิต ๒ ดวง  และเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย ในขณะที่ลิ้มรส

    ๕. กายินทรีย์  ได้แก่  กายปสาทซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่  โดยเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณจิต ๒ ดวง  และเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยในขณะที่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย

    อินทรีย์ ๕  คือ  ตา  หู   จมูก  ลิ้น   กาย 

    ถ้ามีแต่จิต  ไม่มีการเห็น   ไม่มีการได้ยิน   ไม่มีการได้กลิ่น   ไม่มีการลิ้นรส   ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส   ทุกข์ก็เกิดไม่ได้ใช่ไหมคะ  มีรูปร่างกาย   แต่ไม่มีกายปสาทที่จะกระทบกับเย็นหรือร้อน  อ่อนหรือแข็ง  ตึงหรือไหว   ทุกขเวทนาก็เกิดไม่ได้   ก็จะต้องหมดทุกข์ไปในเรื่องของกายวิญญาณ   แต่เพราะเหตุว่ามีรูปซึ่งกรรมเป็นปัจจัย  ทำให้รูปนั้นเป็นใหญ่ในการที่จะทำให้ทวิปัญจวิญญาณจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ที่ปรากฏทางตา   ทางหู   ทางจมูก   ทางลิ้น   ทางกาย

    อินทรีย์ที่ ๖  เป็นรูปธรรมคือ

    ๖.อิตถินทรีย์  ได้แก่ ภาวรูปที่ทำให้ปรากฏสภาพความเป็นหญิง

    อินทรีย์ที่ ๗

    ๗. ปุริสนทรีย์  ได้แก่ ภาวรูปที่ทำให้ปรากฏสภาพความเป็นชาย

    ๘  ชีวิตินทรีย์  ได้แก่  สภาพธรรมที่รักษาสหชาตธรรม คือ ธรรมที่เกิดร่วมด้วยให้เป็นไปในขณะนี้   ให้มีอายุ  ให้มีชีวิต  ให้ดำรงอยู่  ให้ตั้งอยู่ในชั่วขณะนั้น

    สำหรับชีวิตินทรีย์นั้น  เป็นรูปตินทริยะ  ๑ และเป็นนามตินทริยะ ๑  คือ เป็นชีวิตินทริยเจตสิก  ๑

    เพราะฉะนั้นในอินทรีย์ ๒๒ นั้น  จึงเป็นรูป ๗   เป็นนาม ๑๔  และเป็นชีวิตินทริยะ ๑   ซึ่งได้แก่ชีวิตรูป ๑   และชีวิตนาม ๑ นั่นเอง

    แต่เมื่อกล่าวโดยรูป ๒๘ แล้ว  รูปที่เป็นอินทรีย์มี ๘ รูป

    มีท่านผู้ใดมีข้อสงสัยอะไรบ้างไหม  ในเรื่องของรูปที่เป็นอินทรีย์ ๘ รูป  คือ  ตา ๑  หู ๑  จมูก ๑  ลิ้น ๑  กาย ๑  อิตถินทรีย์  อิตถีภาวรูป ๑   ปุริสินทรีย์  ได้แก่ ปุริสภาวรูป ๑   และชีวิตินทรียะ  ได้แก่  รูปซึ่งเกิดเพราะกรรมซึ่งอุปถัมภ์รูปอื่น ๆ   ซึ่งเกิดร่วมด้วย  ในกลุ่มนั้นให้เป็นรูปที่มีชีวิต  มีอายุ  ดำรงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

    มีข้อสงสัยไหม  ในเรื่องของรูปที่เป็นอินทรีย์   


    หมายเลข 5664
    27 ส.ค. 2558