อกุศลเป็นปกตูปนิสสยปัจจัยให้เกิดอกุศล


    สำหรับอกุศลเป็นปกตูปนิสสยปัจจัยให้เกิดอกุศล 

    นี่ก็เป็นสิ่งที่เห็นได้โดยไม่ยาก   อวิชชาในอดีตที่มีมาแล้วเนิ่นนานเป็นปกตูปนิสสยปัจจัยให้อวิชชาเกิดอีกในปัจจุบัน   และอวิชชาในปัจจุบันนี้แหละเป็นปกตูปนิสสยปัจจัยให้อวิชชาเกิดต่อไปในอนาคตด้วย

    สำหรับอกุศลอื่น ๆ   เช่น  โลภะ   ก็เช่นเดียวกัน   โลภะที่เกิดปรากฏในขณะนี้   ไม่ว่าจะเป็นทางตา  ทางหู   ทางจมูก   ทางลิ้น  ทางกาย  ทางใจ  ทำไมคนโน้นมีน้อย   ทำไมคนนี้มีมาก   ตามเหตุตามปัจจัย   ตามการสะสม   ถ้าเป็นผู้ที่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดกับตนเองตามความเป็นจริง   ก็จะรู้ได้ว่า   ที่ท่านชอบรูปอย่างนี้   ติดแล้วในรูปอย่างนี้   ก็เพราะเหตุว่าเคยติดมาแล้วในอดีต   ท่านที่ชอบรสอย่างนี้   ชอบเสียงอย่างนี้   ชอบกลิ่นอย่างนี้   ชอบโผฏฐัพพะอย่างนี้   ก็เป็นเพราะเหตุว่าเคยติดมาแล้วในอดีต   เคยชอบมาแล้วในอดีตอย่างนั้น ๆ   ก็ย่อมเป็นปกตูปนิสสยปัจจัยให้โลภะเกิดขึ้นเป็นไปทางตา   ทางหู   ทางจมูก   ทางลิ้น   ทางกายตามที่ได้สะสมมา   

    อกุศลเป็นปกตูปนิสสยปัจจัยให้เกิดอกุศลตลอดไป   ไม่ว่าจะเป็นภพไหนภูมิไหน   ซึ่งยังไม่ได้ดับอกุศลเป็นสมุจเฉทตราบใด   อกุศลก็ย่อมเป็นปกตูปนิสสยปัจจัยให้อกุศลเกิดขึ้น

    ไม่ใช่ตัวตน   ไม่ใช่สัตว์   ไม่ใช่บุคคล   ทุกท่านมีอกุศลเกิดบ่อย ๆ  เวลาที่สติเกิดระลึก ที่จะรู้  ไม่ต้องไปรู้ถึงกับที่จะดับอกุศลไม่ให้เกิดอีก   เพียงแต่ให้ดับความเห็นผิด   ยึดถืออกุศลนั้นว่า   เป็นตัวตน   เป็นสัตว์   เป็นบุคคลเสียก่อน   ก็เป็นเรื่องที่ดับยาก   เพราะเหตุว่าปัญญาจะต้องอบรมเจริญขึ้นเป็นขั้นๆ   ถ้าปัญญาไม่เจริญขึ้นเป็นขั้นๆแล้ว   ไม่สามารถที่จะดับแม้อกุศลที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสัตว์   เป็นบุคคล   เป็นตัวตนได้   ทั้งๆ ที่ศึกษาปรมัตถธรรม  เรื่องจิตปรมัตถ์  เจตสิกปรมัตถ์  รูปปรมัตถ์  นิพพานปรมัตถ์   ศึกษาเรื่องของปัจจัยต่างๆ ก็ตาม  แต่เวลาที่สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม   ต้องเป็นผู้ตรง   ที่จะรู้ว่า   ในขณะนั้นกำลังศึกษาและรู้ในสภาพที่เป็นนามธรรมต่างกับลักษณะของรูปธรรม   โดยที่นามธรรมนั้นเป็นเพียงธาตุรู้  อาการรู้   ไม่ใช่เราจริง ๆ   

    ต้องเป็นผู้ที่ตรงจนกว่าปัญญาจะเจริญขึ้น   จนกว่าจะสามารถรู้แจ้งในความเกิดดับของนามธรรมรูปธรรมได้

    สำหรับข้อนี้   มีข้อสงสัยอะไรไหมคะ   

    อกุศลเป็นปกตูปนิสสยปัจจัยให้เกิดอกุศล   

    ขอให้รู้ลักษณะที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมตามความเป็นจริง   ไม่ว่าจะเป็นอกุศลชนิดใดประเภทใด   ขณะใดทั้งสิ้น   ไม่ว่าจะมีความอ่อนความแรงประการใดก็ตาม   ผู้ที่เป็นปุถุชนที่จะอบรมเจริญปัญญาที่จะเป็นพระอริยเจ้า   ก็คือ   สติเกิดระลึกตรงลักษณะซึ่งเป็นนามธรรม ไม่ใช่ตัวตน   หรือว่าเป็นลักษณะที่เป็นรูปธรรม   ไม่ใช่ตัวตน   จนกว่าจะรู้ชัดและคล่องแคล่วทั้ง ๖ ทาง  คือ  ทั้งทางตา  ทางหู  ทางจมูก  ทางลิ้น  ทางกาย   ทางใจ   ก่อนที่ปัญญาจะประจักษ์ความเกิดขึ้นและดับไปของนามธรรมและรูปธรรมได้   

    แต่ถ้าทางตายังไม่เคยระลึกรู้เลยว่า ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตานั้นเป็นอย่างหนึ่ง   และสภาพรู้  ธาตุรู้ ซึ่งกำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏทางนั้นเป็นแต่เพียงอาการรู้  หรือธาตุรู้เท่านั้น  ถ้ายังไม่รู้จริง ๆ   ไม่สามารถที่จะละการยึดถือว่า  เป็นเรา  หรือเป็นสัตว์  เป็นบุคคลต่าง ๆ ได้   

    แต่ถ้าศึกษาเรื่องของปัจจัย   มีทางที่จะน้อมศึกษา   ที่จะระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะนี้ได้ว่า   แม้เพียงการเห็นซึ่งเป็นปกติอย่างนี้เอง   ซึ่งเห็นตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ก็เห็น   ดูเหมือนเป็นของธรรมดา   แต่ถ้าสติระลึกในขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้   แล้วน้อมนึกถึงสภาพของปัจจัย  จะรู้ได้ทันทีว่า   ถ้าปราศจากแสงสว่าง  ในห้องนี้จะไม่ปรากฏว่ามีอะไร   นอกจากความมืด   ไม่มีการที่จะรู้ว่า   เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย   เพราะฉะนั้นที่เห็นเป็นสัตว์   เป็นบุคคลต่าง ๆ   ต้องมีปัจจัย   ซึ่งเป็นปกตูปนิสสยปัจจัย   เป็นที่อาศัยที่มีกำลัง   ที่ทำให้มีการเห็นรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏว่า เป็นวัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใด   หรือว่าเป็นบุคคลใด

    นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า   ถ้าสติระลึก  จะเห็นได้ว่า   แม้ในขณะที่กำลังเห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด   ก็ยังต้องมีปกตูปนิสยัปจจัย   มิฉะนั้นแล้วการเห็นรูปร่างสัณฐานต่าง ๆ ที่กำลังปรากฏในขณะนี้  ก็มีไม่ได้

    เพราะฉะนั้นถ้าขาดปัจจัยหนึ่งปัจจัยใด   คือ  จักขุปสาท   หรือแสงสว่าง   การเห็นก็เกิดไม่ได้   แต่ขณะที่จะระลึกทางตา   ไม่ใช่ให้คิดนึกเป็นเรื่องที่ยาวอย่างนี้   แต่น้อมที่จะพิจารณารู้ว่า   เป็นแต่เพียงอาการรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ   จนกว่าจะชำนาญทั้งทางตา   ทางหู   ทางจมูก  ทางลิ้น   ทางกาย   ทางใจ


    หมายเลข 5029
    28 ส.ค. 2558