พระธรรมเปลี่ยนบุคคลผู้เหี้ยมโหดไดั
ขอกล่าวถึง ชีวิตของพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งท่านผู้ฟังก็จะเห็นได้ว่า ธรรมได้เปลี่ยนพระองค์จากการเป็นอโศกมหาราชผู้ดุร้าย เป็นธรรมาโศกราช คือเป็นมหาราชผู้ทรงธรรม
ข้อความในสมันตปาสาทิกามีว่า เมื่อพระเจ้าอโศกทอดพระเนตรเห็นอาการอันสงบน่าเลื่อมใสของนิโครธสามเณรแล้ว ก็คิดว่าสามเณรนี้คงบรรลุโลกุตตรธรรม อันนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าแม้พระเจ้าอโศกเองก็ทรงเป็นผู้ที่ใคร่ในการอบรมเจริญปัญญา เพราะฉะนั้นก็ทรงแสวงหาผู้ที่ควรแก่การที่จะเลื่อมใส คือผู้ที่บรรลุโลกุตตรธรรม ซึ่งตามความเป็นจริง นิโครธสามเณรก็ได้บรรลุอรหัตต์ในวันบรรพชาขณะที่ท่านปลงเกศาเสร็จ พระเจ้าอโศกจึงทรงส่งอำมาตย์ทั้งหลายไปนิมนต์สามเณรมารับภัตตาหารในพระราชวัง นี่ก็เป็นการแสวงหาบุคคลที่ประกอบด้วยปัญญา เมื่ออำมาตย์เหล่านั้นยังช้าอยู่ ก็ได้ทรงส่งอำมาตย์ไปอีก ๒ - ๓ คน รับสั่งขอให้สามเณรมาเร็วๆ เถอะ ซึ่งนิโครธสามเณรก็เดินไปตามธรรมดาของตน แต่ว่าในความรู้สึกของพระเจ้าอโศกมหาราช ก็ไม่ทันพระทัยของพระองค์ที่ใคร่จะให้นิโครธสามเณรไปรับภัตตาหารโดยเร็ว
นิโครธสามเณรเมื่อได้เข้าไปในพระราชวังแล้ว พระเจ้าอโศกก็รับสั่งว่า ขอพระผู้เป็นเจ้าจงรู้อาสนะอันสมควร แล้วนั่งเถอะ ซึ่งก่อนหน้านั้นพวกนักพรตต่างๆ ที่เข้ามารับถวายทานภัตตาหารในพระราชวังนั้น เวลาที่พระเจ้าอโศกรับสั่งว่า ขอพระคุณเจ้าจงนั่งบนอาสนะอันสมควรแก่ตนเถอะ บางพวกก็นั่งบนพระเก้าอี้ แล้วบางพวกก็นั่งบนแผ่นกระดาน นี่เป็นชีวิตประจำวันจริงๆ ทุกยุคทุกสมัยซึ่งแสดงให้เห็นอัธยาศัยที่ต่างๆ กันตามการสะสม แต่เมื่อพระเจ้าอโศกรับสั่งกับนิโครธสามเณรว่า ขอพระผู้เป็นเจ้าจงรู้อาสนะอันสมควร แล้วนั่งเถอะ นิโครธสามเณรเหลียวข้างโน้นข้างนี้ คิดว่า บัดนี้ไม่มีภิกษุอื่นๆ จึงเข้าไปใกล้พระราชบัลลังก์ มีเศวตฉัตรอันยกขึ้นไว้ ได้แสดงอาการแก่พระราชาเพื่อประโยชน์ในการทรงถือบาตร พระราชาทรงทอดพระเนตรเห็นสามเณรนั้นเข้าไปใกล้พระราชบัลลังก์ ทรงพระดำริว่า สามเณรนี้จะเป็นเจ้าของเรือนนี้ เวลานี้ วันนี้เอง สามเณรถวายบาตรไว้ในพระหัตถ์ของพระราชา แล้วขึ้นพระราชบัลลังก์ นั่งแล้ว พระเจ้าอโศกทรงน้อมถวายข้าวยาคู ของขบเคี้ยว และภัตตาหารทุกชนิดที่เขาจัดถวายพระองค์ สามเณรรับแต่เพียงพอยังอัตภาพให้เป็นไปแก่ตนเท่านั้น
ในเวลาเสร็จภัตตกิจ พระเจ้าอโศกมีพระราชดำรัสขอให้นิโครธสามเณรแสดงพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคได้ประทานไว้แก่พุทธบริษัท ซึ่งนิโครธสามเณรก็ได้กล่าวอัปปมาทวรรคในพระธรรมบท อันเหมาะแก่พระราชา เพื่อประโยชน์แก่การอนุโมทนา พระราชาทรงเลื่อมใส แม้นิโครธสามเณรก็ได้ให้พระราชาพร้อมทั้งราชบริษัทดำรงอยู่ในสรณะ ๓ และ ศีล ๕
พระเจ้าอโศกทรงรับสั่งให้สร้างมหาวิหารชื่อว่า อโศการาม และได้ทรงสร้างวิหาร ๘๔,๐๐๐ แห่ง ประดับด้วยเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ องค์ ซึ่งก็เสร็จในเวลา ๓ ปี และพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระก็ได้ทำสังคายนาครั้งที่ ๓ โดยเลือกพระภิกษุทั้งหลายผู้ทรงพระปริยัติ คือพระไตรปิฎก มีปฏิสัมภิทาแตกฉาน ต่างด้วยทรงคุณวิเศษ มีได้วิชา ๓ เป็นต้น จำนวน ๑๐๐๐ ในจำนวนพระภิกษุ ๖ ล้านรูป
สังคีติ คือ สังคายนา ครั้งนี้กระทำ ๙ เดือนที่อโศการามในเมืองปาตลีบุตร ซึ่งท่านผู้ฟังก็จะเห็นได้ว่ามีสถานที่หลายแห่งที่ควรจะไปนมัสการ แล้วก็น้อมระลึกถึงคุณของผู้ที่ได้กระทำการอนุเคราะห์ เผยแพร่พระพุทธศาสนา อย่างพระมหินท์นั้น ก่อนที่พระมหินทเถระจะไปเผยแพร่พระธรรมที่ลังกา ก็ได้ไปอยู่ที่อโศการาม แล้วก็ก่อนที่จะไปสู่ลังกาก็ได้จาริกไปทางทักขิณาคีรีชนบท อ้อมเมืองราชคฤห์ เยี่ยมญาติทั้งหลาย ๖ เดือน และก็ได้ไปเยี่ยมลาพระมารดาที่กรุงอุชเชนี
นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต แสดงให้เห็นถึงความเลื่อมใส และแสดงให้เห็นถึงอานุภาพคุณของพระธรรม ซึ่งสามารถที่จะเปลี่ยนบุคคล จากความเป็นบุคคลผู้เหี้ยมโหด ดุร้าย ให้เป็นผู้ที่ทำนุบำรุงพระศาสนาอย่างยิ่งใหญ่ท่านหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นพระเจ้าอโศกมหาราชก็ไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า ยาก การที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ไม่ใช่ว่าจะรู้แจ้งได้โดยง่าย ถึงแม้ว่าจะได้สร้างมหาวิหารชื่อว่าอโศการาม สร้างวิหาร ๘๔,๐๐๐ แห่ง และก็ได้ทรงส่งพระเถระไปเผยแพร่พระธรรม แต่ว่าถ้าสะสมบารมียังไม่พร้อมที่จะบรรลุคุณธรรมเป็นพระอริยเจ้า ก็ไม่สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ แต่ก็ได้เปลี่ยนจากความเป็นบุคคลผู้ดุร้าย ผู้อธรรม มาเป็นผู้ที่ทรงธรรม
เพราะฉะนั้นท่านผู้ฟังจะติดตามรับฟังศึกษาพระธรรมต่อไป เพื่อที่จะให้เจริญกุศลทุกประการยิ่งขึ้น
