การเจริญกุศล
ท่านอาจารย์ . การที่จะเจริญกุศลจนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสได้ ก็ต้องประกอบด้วยธรรมที่เป็นบารมี ๑๐ ซึ่งธรรมแต่ละส่วนที่ได้ฟังจากพระไตรปิฎกนั้น เกื้อกูลจริงๆ ไม่ใช่ว่าแยกจากกัน แม้แต่บารมี ๑๐ ก็เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน และการที่จะอบรมเจริญหนทางที่จะสามารถดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท เพราะถ้าขาดการอบรมเจริญกุศล คือบารมี ๑๐ ให้มั่นคงแล้ว การที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมก็มีไม่ได้
บารมี ๑๐ คือ ๑.ทาน ๒.ศีล ๓.เนกขัมมะ ๔.ปัญญา ๕.วิริยะ ๖.ขันติ ๗.สัจจะ ๘.อธิษฐาน ๙.เมตตา ๑๐.อุเบกขา
อโทสะ คือเมตตา ก็เป็นบารมีด้วย ถ้าใครที่ยังคงไม่คิดที่จะเป็นผู้ที่มีเมตตาเพิ่มขึ้น ก็ไม่มีทางที่จะถึงฝั่ง คือพระนิพพานได้ เพราะฉะนั้น จะขาดบารมีข้อหนึ่งข้อใดไม่ได้ คือต้องมีทั้งทาน ศีล เนกขัมมะ คือ การออกจากความติดข้องพัวพัน ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แม้ว่าจะไม่ใช่โดยวัตถุกาม แต่โดยจิตคือโดยสติที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่ตัวตนขณะใด ขณะนั้นก็ชื่อว่าการออกจากความติด ความพอใจยึดมั่นนามธรรมและรูปธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ซึ่งก็จะต้องเป็นปัญญาบารมี พร้อมกับวิริยะคือความเพียร พร้อมทั้งขันติคือความอดทน เพราะว่าผลของการอบรมเจริญปัญญาไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นโดยเร็ว และก็โดยง่าย แต่จะต้องเป็นไปทีละเล็กทีละน้อยค่อยๆ เพิ่มขึ้นจริงๆ จากความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม การที่หลงลืมสติ ไม่ระลึกลักษณะของสภาพธรรม จนกระทั่งค่อยๆ เป็นผู้ที่มีปกติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม แล้วสังเกตศึกษาพิจารณาจนเป็นความรู้ที่เพิ่มขึ้นๆ ซึ่งต้องอาศัยนอกจากมีความเพียรแล้ว ยังต้องมีขันติคือการรอคอยผล ซึ่งเป็นไปทีละเล็กที่ละน้อยด้วย
นอกจากนั้นต้องเป็นผู้ที่มีสัจจะ ความจริงใจ ต่อการที่จะเป็นผู้ตรงในการที่จะละกิเลส ต้องมีความตั้งใจมั่น คืออธิษฐาน และมีเมตตา คืออโทสะ และประการที่ ๑๐ บารมีที่ ๑๐ คืออุเบกขา ซึ่งบารมีทั้ง ๑๐ นี้ ก็ได้แก่โสภณจิต และโสภณเจตสิก นั่นเอง ขณะใดที่เป็นกุศลประการหนึ่งประการใด ก็ย่อมจะต้องเป็นไปในการที่จะเป็นบารมีหนึ่งบารมีใดสำหรับผู้ที่ต้องการที่จะดับกิเลส
