สติระลึกรู้เย็น แยกรูปแยกนามอย่างไร


    ถาม   ในขณะที่สติระลึกรู้ตรงเย็น ในขณะนั้นที่พูดกันว่า แยกรูป แยกนาม อาตมาเข้าใจว่า ในขณะที่สติระลึกรู้ตรงเย็นที่ปรากฏนั้น ในขณะนั้นแยกแล้วอย่างนี้ อาตมาจะเข้าใจถูกหรือไม่ถูก

    ส.   ในขณะที่ระลึกที่รูป ที่เย็น ไม่มีความรู้สึกว่า เป็นแขนเราเย็น หรือว่าตัวเราเย็น ในขณะนั้นศึกษาลักษณะที่เย็น รู้ว่าเป็นลักษณะของสภาพธรรมหนึ่งเท่านั้น ในขณะนั้นรู้ลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตน เพราะเหตุว่าเป็นลักษณะที่เย็น แต่สักกายทิฏฐิมีถึง ๒๐ คือ ยึดถือรูปว่าเป็นตน ยึดถือเวทนา ยึดถือสัญญา ยึดถือสังขารขันธ์ ยึดถือวิญญาณขันธ์ เพราะฉะนั้น ในขณะที่ยึดถือลักษณะของรูป กำลังรู้ว่าในขณะนั้นเป็นเพียงสภาพเย็นซึ่งไม่ใช่เรา ขณะนั้นรู้ลักษณะรูปขันธ์ ถ้าในขณะนั้นไม่ได้อบรมเจริญรู้ลักษณะของที่รู้เย็น ขณะนั้นก็ยังเป็นเราซึ่งกำลังรู้รูป

    เพราะฉะนั้น กว่าการยึดถือขันธ์ ๕ จะค่อยๆละคลายลงไปด้วยการรู้ลักษณะของรูป และด้วยการรู้ลักษณะของนาม ก็จะต้องพิจารณาลักษณะของขันธ์ ๕ ทั้ง ๕ ขันธ์ เพราะว่าบางครั้งกำลังพิจารณาลักษณะของสภาพรู้ เช่น กำลังเห็นก็ดี หรือกำลังได้ยินก็ดี เสียงปรากฏเพราะมีสภาพรู้เสียง ขณะนั้นยังยึดถือเวทนา ความรู้สึกว่าเป็นเราได้

    เพราะฉะนั้น ที่พระผู้มีพระภาคทรงจำแนกขันธ์ ๕ ก็เพื่อให้อบรมเจริญปัญญา พิจารณาขันธ์ทั้ง ๕ จะกว่าจะละคลายขันธ์ทั้ง ๕ ว่าเป็นเรา เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล

    เพราะฉะนั้น ในวันหนึ่งๆที่สติจะเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม ควรมีได้ตลอดเวลาโดยไม่เลือกกาละ และไม่เลือกสถานที่ ขณะใดที่มีการเห็น สติระลึกได้ ขณะได้ยิน สติก็ระลึกได้  ขณะที่ได้กลิ่น สติก็ระลึกได้ ขณะที่ลิ้มรส สติก็ระลึกได้ ขณะที่กำลังกระทบสัมผัสขณะนี้ สติก็ระลึกได้ ขณะที่คิดนึกต่างๆทางใจ สติก็ระลึกได้ เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างที่ไม่ใช่ตัวตนทั้งหมด แต่เมื่อไรจึงจะรู้ในสภาพที่ไม่ใช่ตัวตนของธรรมที่ปรากฏได้ถูกต้องตามความเป็นจริง ก็ต้องอบรมไปเรื่อยๆ ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมบ้าง รูปธรรมบ้างที่กำลังปรากฏ ถ้าระลึกแล้วยังไม่รู้ จะทำอย่างไรดีคะ จะโกรธ หรือจะอึดอัดใจก็เปล่าประโยชน์ทั้งสิ้น แต่ระลึกรู้อีก ศึกษาอีก ในขณะนั้นเป็นสัญญาวายาโม ระลึกชอบ เพียรชอบ แต่ไม่ใช่เรื่องควรจะท้อถอย หรือควรจะหงุดหงิดรำคาญใจ แต่ความไม่รู้สะสมมามาก กว่าความรู้จะเพิ่มขึ้นก็ต้องอาศัยกาลเวลานานมากทีเดียว

    นามธรรมเกิดดับอยู่ตลอดเวลา แต่รู้เพียงชื่อว่า เป็นนามธรรม รู้เพียงชื่อว่า นามธรรมเป็นสภาพรู้ ทั้งๆที่ลักษณะของนามธรรมแล้วก็เกิดขึ้นรู้สิ่งที่กำลังปรากฏอยู่เรื่อยๆ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

    เพราะฉะนั้น ที่จะให้รู้จริงๆว่า สภาพรู้ต่างกับรูปธรรม ซึ่งไม่ใช่สภาพรู้ ก็จะต้องอาศัยการระลึกได้ในขณะเห็น ในขณะได้ยิน ในขณะได้กลิ่น ในขณะลิ้มรส ในขณะที่กระทบสัมผัส ในขณะที่คิดนึก นอกจากนี้มีหนทางอื่นไหมคะ  ท่านผู้ฟังลองพิจารณาจริงๆ ดูซิคะว่า จะมีหนทางอื่นไหม ถ้าอยากจะหาทางลัด หรือทางเร็ว ก็ลองพิจารณาดูว่า ยังมีหนทางอื่นอีกไหม นอกจากหนทางนี้ซึ่งเป็นหนทางเดียว คือ สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏแล้วศึกษา คือพิจารณา จนกว่าจะเป็นความรู้ชัด


    หมายเลข 3449
    1 ก.ย. 2558