จะพิจารณาอวัยวะภายในได้อย่างไร


    ผู้ฟัง    ในกายบรรพหนึ่งให้พิจารณาเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ สงสัยว่า อย่างเกสา ก็แข็งและเห็นได้ แต่ถ้าเป็นอวัยวะภายใน เป็นอาหาร เป็นไปได้ไหมครับที่อยู่ในบรรพนี้ จะพิจารณาได้ไหมครับ

    ส.   ก็เป็นเรื่องที่ต้องศึกษาโดยละเอียด ไม่ใช่เพียงแต่อ่าน เพราะว่าอ่านแล้วเข้าใจผิดได้ อย่างเรื่องของผม ขน เล็บ ฟัน หนังที่มีอยู่ในกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ธรรมทั้งหมดจะไม่พ้นไปจากการที่ปัญญาสามารถรู้ความจริงของสภาพธรรมนั้นได้ ก็น่าสงสัยใช่ไหมคะว่า ทำไมถึงมีผม ขน เล็บ ฟัน หนังในมหาสติปัฏฐานด้วย อย่างที่กล่าวถึงแล้ว คำว่า “มหา” กว้างใหญ่ รวมทุกอย่าง ไม่เว้น ก่อนการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีผู้แสวงหาทางที่จะหมดจดจากกิเลส แต่เพราะเขาไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้อุทกดาบส อาฬารดาบส ผู้ที่สามารถบรรลุถึงอรูปฌานขั้นที่ ๓ และขั้นที่ ๔ ซึ่งเป็นอรูปฌานสูงสุด ก็ยังไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม แต่สามารถบรรลุถึงอรูปฌานขั้นสูงสุดก่อนการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็แสดงว่า ผม ขน เล็บ ฟัน หนังที่จะเป็นทางทำให้จิตสงบ เพราะระลึกถึงความเป็นปฏิกูลของผมบ้าง ขนบ้าง เล็บบ้าง ฟันบ้าง หนังบ้าง เล็กน้อยเหลือเกิน เมื่อเทียบกับความมั่นคงของจิตที่สงบถึงขั้นอัปปนาสมาธิที่ไม่มีรูปเป็นอารมณ์ มีแต่นามธรรมเป็นอารมณ์ ถึงขั้นนั้นก็ยังไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม

    เพราะฉะนั้น ผม ขน เล็บ ฟัน หนังก็คือผู้พิจารณากาย และเห็นส่วนของกายโดยความเป็นปฏิกูล คือเราเคยเห็นผมว่าสวย ท่านเหล่านั้นก็มาคิดใหม่ ลักษณะกลมๆ ยาวๆ ตั้งอยู่บนโอกาสที่หนังศีรษะที่ปฏิกูล ถ้าอ่านตามเรื่องก็จะเห็นคำอธิบายของวิธีที่ตรึกพิจารณาอย่างไรแล้วจิตสงบ แต่ไม่ได้รู้ความจริง

    เพราะฉะนั้น สมถภาวนากับวิปัสสนาภาวนาต่างกัน สมถภาวนามีก่อนการตรัสรู้ เมื่อมีผู้มีปัญญา สามารถเข้าใจว่า แม้ชีวิตธรรมดาประจำวันอย่างผม ทุกคนก็มี แต่ติดข้องในผม ทางที่จะไม่ติดข้องก็คือระลึกจนกระทั่งเห็นความเป็นปฏิกูล ก็เพียงสงบระงับถ้าถึงอุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิก็เป็นฌานจิต แต่ก็ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมใดๆทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้น ถ้าผู้นั้นเคยระลึกถึงผมในลักษณะนั้น แล้วได้ฟังพระธรรม ขณะหนึ่งขณะใดที่สัมมาสติเกิด แม้ขณะที่กำลังระลึกถึงความเป็นปฏิกูล ขณะนั้นก็รู้ในความไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล

    เพราะฉะนั้น จึงไม่จำกัด ไม่เว้นเลย แต่หัวใจของการอบรมเจริญปัญญาก็คือว่า สามารถรู้ว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร เป็นนามธรรมหรือเป็นรูปธรรม ทางเดียวที่จะละความยึดถือว่าเป็นตัวตน ต่อเมื่อมีปัญญารู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร ถ้าไม่รู้ก็ต้องเป็นผมของเราอยู่ ทุกอย่างก็ต้องเป็นของเรา แต่พอรู้ในลักษณะที่เป็นนาม ลักษณะรู้ ธาตุรู้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป จะเป็นเราได้อย่างไร เสียงเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่มั่นคงเลย จะเป็นเราได้อย่างไร ทุกอย่างที่เกิดดับก็ไม่เป็นเรา

    เพราะฉะนั้น เวลาที่อ่านสติปัฏฐาน ต้องรู้ว่า ถ้าขณะนั้นไม่ว่าจะมีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มีลมหายใจ หรือมีอิริยาบถหนึ่งอิริยาบถใดที่ทรงอยู่ ตั้งอยู่ แล้วรูปในอิริยาบถนั้นตั้งอยู่ ก็ต้องเพื่อละลักษณะจริงๆของนามธรรมและรูปธรรม ถ้ามิฉะนั้นไม่ใช่สติปัฏฐาน ถ้าไม่รู้ลักษณะที่เป็นปรมัตถธรรม ที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม ขณะนั้นไม่ใช่สติปัฏฐาน

    ที่เราเรียนปรมัตถธรรม ก็เพื่อให้แยกความไม่เคยรู้และยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา โดยบัญญัติ โดยสมมติ โดยความจำ ให้รู้จริงๆว่า ขณะใดที่จำว่าเป็นเรา ขณะนั้นไม่ใช่ปรมัตถธรรม

    เพราะฉะนั้น การจะรู้ความจริงที่เป็นสัจจะ ก็คือต้องมีลักษณะที่เป็ปรมัตถธรรมเท่านั้น สามารถแยกปรมัตถธรรมและบัญญัติออกจากกันได้ จึงจะรู้ว่า สิ่งใดมีจริง และสิ่งที่มีจริงเท่านั้นที่เกิดดับ ส่วนสิ่งที่เรียกสมมติ คิด ขณะนั้นเป็นแต่เพียงเรื่องราว ไม่มีสภาพธรรมจริงๆ ก็ทำให้ถึงการประจักษ์การเกิดดับซึ่งเป็นทุกขลักษณะไม่ได้

    ถ้าเข้าใจอย่างนี้ ทุกบรรพก็เหมือนกัน ลองอ่าน ลองถามเพื่อให้หายสงสัยว่า จะมีบรรพอื่นเหลือไหม


    หมายเลข 3119
    1 ก.ย. 2558