กุศล - อกุศล - กิริยา ในชวนวิถี
ท่านอาจารย์ การศึกษาธรรม เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ ในสิ่งที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา แต่จริงๆ แล้วก็คือสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับอย่างเร็วมาก ซึ่งนามธรรม เร็วกว่ารูปธรรมมาก รูปๆ หนึ่งจะมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ ซึ่งก็เร็วอยู่แล้ว ไม่มีใครไปคิดออกว่าขณะนี้ทางตาที่กำลังเห็น วรรณธาตุ อายุแค่ ๑๗ ขณะ แล้วก็ดับ และก็ไม่ใช่มีแต่เฉพาะวิบากจิตที่เห็น ก่อนจิตเห็นต้องเป็นกิริยาจิต เพราะฉะนั้นเราจะได้รู้ว่า ไม่ว่าจะเห็นอะไร ได้กลิ่นอะไร ลิ้มรสอะไร ได้ยินอะไร ก็คือผลของกรรมที่เราเองเป็นผู้กระทำแล้ว
ผู้ฟัง ถ้าจะพูดอย่างภาษาชาวบ้านง่ายๆ อย่างเห็นรูปารมณ์ จิตเห็นเป็นวิบาก จะเป็นกุศล อกุศล หลังจากนั้น
ท่านอาจารย์ แต่ว่าหลังจากเห็นแล้ว ยังไม่ใช่กุศล อกุศลทันที
ผู้ฟัง ทีนี้ตอนเป็นกุศล อกุศลนี่แหละ คือเป็นการสร้างกรรมต่อ เป็นเหตุใหม่ที่จะให้เกิดผลข้างหน้า
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นดีชั่วในชีวิตประจำวัน ก็คือกุศลจิต และอกุศลจิต ที่เป็นวิถีจิต ทางหนึ่งทางใดใน ๖ ทาง ทางตานี้ก็ต้องมีกุศลจิต และอกุศลจิต ยังไม่ถึงมโนทวาร
ผู้ฟัง ก็มีการใช้คำว่าชวนวิถี ก็มี
ท่านอาจารย์ ก็เรากำลังจะจากขณะหนึ่ง ไปอีกขณะหนึ่ง เพื่อถึงชวนวิถี จิตอะไรก็ตามที่ไม่ใช่ภวังคจิต เป็นวิถีทั้งหมด ชวนวิถีก็เป็นวิถีจิตโดยกิจ เราจะต้องทราบว่าจิตไหนทำกิจนี้ กุศลจิตทำชวนกิจ อกุศลจิตก็ทำชวนกิจ กิริยาจิตของพระอรหันต์ ก็ทำชวนกิจ โลกุตรจิตก็ทำชวนกิจ ฌานจิตก็ทำชวนกิจ เพราะว่าไม่เห็น กุศลไม่ได้ทำกิจเห็น กุศลทำกิจเห็นหรือเปล่า กุศลจิตไม่ได้ทำกิจเห็นเลย จิตอะไรทำกิจเห็น วิบากจิต จักขุวิญญาณเท่านั้นที่ทำกิจเห็น นี่ก็คือเป็นการศึกษาความละเอียดของสภาพธรรมที่มีในชีวิตประจำวัน แล้วก็คือจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ในขณะนี้ ก็สืบต่อจากปัญจทวาราวัชชนจิต
ที่จริงก็เป็นการทบทวน อย่างน้อยที่สุดเราก็รู้ว่าจิตที่เป็นวิถี กับจิตที่ไม่ใช่วิถีนั้นต่างกัน เพราะว่าวิถีจิตก็คือจิตที่อาศัยทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รู้อารมณ์ เช่นทางตาเห็น แล้วก็ชอบ ไม่ชอบ เป็นกุศล อกุศล ในสิ่งที่เห็น แล้วทางใจก็เกิดสืบต่อ รับรู้สิ่งที่ปรากฎทางปัญจทวาร แล้วก็คิดนึกเรื่องราวต่างๆ ต้องแยกกันระหว่างทางปัญจทวารกับทางมโนทวาร
