ขณะที่หลงลืมสติ กับ มีสติ


    ผู้ที่จะเจริญสติ ขอให้ทราบความต่างกันของขณะที่หลงลืมสติกับขณะที่มีสติเป็นขั้นแรก หลงลืมสติคือ ไม่ได้รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ หลงไป เพลินไป แต่พอระลึกได้ก็รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏทางหนึ่งทางใดก็ได้ ให้รู้ว่าสิ่งนั้นกำลังปรากฏจริงๆ ในขณะนั้น ลักษณะของสิ่งนั้นคืออะไร ถ้าจะระลึกที่เสียงก็รู้ว่า สิ่งนี้ปรากฏทางหูเท่านั้น ลักษณะที่ปรากฏทางหูเป็นลักษณะอย่างหนึ่ง ไม่ใช่รู้เรื่อง ไม่ใช่รู้เสียง แต่เวลาที่รู้เรื่องรู้ความหมายเป็นเพียงนามธรรมที่เกิดขึ้นรู้แล้วหมดไป เป็นลักษณะธรรมชาติอีกชนิดหนึ่ง

    บางท่านไม่ทราบว่า นามคืออะไร รูปคืออะไร โดยการศึกษาทราบขันธ์ ๕ รูปขันธ์มี ๑ นามขันธ์มี ๔ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ แต่เวลาเจริญสติไม่รู้ลักษณะของนามขันธ์ รูปขันธ์ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุว่า ไม่ทราบลักษณะที่เป็นนาม ไม่ทราบลักษณะที่เป็นรูป ทราบแต่ชื่อว่าขันธ์ ๕ มีอะไรบ้าง รูปขันธ์เป็นรูป ๑ นามขันธ์เป็นนาม ๔ ทราบเพียงชื่อ แต่ถ้าทราบลักษณะจะรู้ว่า ลักษณะของรูป คือ สภาพที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือใจ สภาพนั้นไม่ใช่สภาพรู้ ไม่ใช่สภาพที่รู้อารมณ์เลย ส่วนนามธรรมเป็นสภาพที่คิด ขณะที่คิดนั้นเป็นนามขันธ์เป็นนามธรรม

    ที่ได้เรียนมากมายในปริยัตินั้น ในขณะที่เกิดขึ้นปรากฏลักษณะที่ไม่มีรูปร่าง ไม่ใช่เย็น ไม่ใช่ร้อน ไม่ใช่สี ไม่ใช่เสียง ไม่ใช่กลิ่น แต่เป็นของที่มีจริง สภาพการนึกคิดเป็นของที่มีจริง ไม่ใช่รูปแต่เป็นนาม นามธรรมคือ สภาพที่รู้ทางตา รู้ทางหู รู้ทางจมูก รู้ทางลิ้น รู้ทางกาย คิดนึกทางใจ จำได้ เป็นสุข เป็นทุกข์ เป็นโลภ เป็นโกรธ เป็นหลง เป็นอิสสา เป็นมานะ เป็นพยาบาท เป็นสารพัดอย่างที่ทุกท่านมีมากๆ ไม่ใช่น้อย เพราะฉะนั้นเวลาที่อยากรู้ว่า นามธรรมคืออะไร มีลักษณะอย่างไร ที่ตัวท่านมีครบที่จะให้ระลึกได้ รู้ได้ในลักษณะของนามไม่ใช่ในชื่อ เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้ว่า สภาพของนามธรรมเป็นสภาพที่รู้ เป็นสภาพที่จำ เป็นสภาพที่เป็นสุข เป็นทุกข์ คิดนึก โลภ โกรธ หลง เวลาที่ธรรมชาติเหล่านั้นเกิดขึ้น ท่านรู้ว่าลักษณะนั้นบัญญัติเรียกว่า นาม แต่คำบัญญัตินั้นหมายถึง สภาพแต่ละลักษณะที่รู้บ้าง จำบ้าง คิดนึกบ้าง เป็นทุกข์บ้างนั่นเอง

    โดยเหตุนี้ ท่านสามารถจะรู้จักลักษณะของนามจริงๆ ที่ตัวของท่านชัดเจนว่า มีนามอะไรบ้างโดยสติระลึกในขณะที่สภาพนั้นๆ ปรากฏ ทุกท่านทราบว่า ท่านยังมีโลภะ ยังมีโทสะ แต่ไม่ทราบเวลาที่กำลังมีโลภะหรือกำลังมีโทสะ แต่ทราบว่าที่ตัวของท่านมีโลภะมาก มีโทสะมาก บางครั้งมีมานะ บางครั้งมีริษยาอิสสา บางครั้งมีมัจฉริยะ บางครั้งมีเมตตากรุณา ท่านทราบทุกอย่างแต่ไม่รู้ชัดคือ ไม่รู้ในขณะที่สิ่งนั้นกำลังปรากฏ ถ้ารู้ชัดในลักษณะของสิ่งนั้นที่กำลังปรากฏ สิ่งนั้นไม่มีรูปร่างเลย เป็นนามธรรมแต่ละชนิด ขณะนั้นท่านเข้าใจชัดเจนในความหมายของคำว่า นาม โดยไม่ติดอยู่เพียงคำบัญญัติว่า นาม เพราะเหตุว่า โดยมากท่านศึกษาปริยัติ ท่านคล่องว่าอะไรเป็นนามเป็นรูป แต่พอถึงเวลาเจริญสติแล้วงงเพราะไม่เคยระลึกรู้ลักษณะสิ่งนั้น ในขณะที่สิ่งนั้นกำลังปรากฏจริงๆ แต่ถ้าระลึกได้แล้วจะหมดความสงสัยในสภาพของนามของรูป ทุกขณะที่เกิดขึ้นแต่ละคน แต่ละอย่างไม่เหมือนกัน เกิดขึ้นต่างขณะกัน สติระลึกต่างขณะกัน ไม่มีอัตตาตัวตนไปบังคับให้ระลึกเหมือนกันได้


    หมายเลข 2399
    23 ก.ย. 2566