การบรรลุธรรมจิตดวงไหนทำงาน


    ถาม   การบรรลุธรรมของท่านอุปติสสปริพาชกโดยฉับพลันหลังฟังธรรม จิตดวงไหนทำงาน เป็นปฏิสนธิจิต ภวังคจิต หรือจุติจิต หรืออะไรที่ท่านอาจารย์กล่าวถึง และความเป็นใหญ่ของจิตดวงไหนที่เกิดขึ้นทำงาน ในการบรรลุธรรมอย่างนี้ ตามพระอภิธรรม

    ส.   ถ้าพูดถึงบรรลุธรรมต้องเข้าใจว่า อะไรบรรลุ เมื่อกี้นี้ไม่มีคน ไม่มีสัตว์เลย มีแต่สภาพธรรม สภาพธรรมก็มีตั้งหลายอย่าง ความโกรธบรรลุธรรมไม่ได้แน่ ความโลภก็บรรลุธรรมไม่ได้ ความเมตตาทำให้บรรลุธรรม รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ไหมคะ ไม่ได้ ได้ยินคำว่า “สติ” บ่อยๆ สติก็ไม่สามารถรู้อริยสัจธรรมได้ ต้องเป็นปัญญา ความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริงๆ คือในธรรม ตามความเป็นจริงของธรรมนั้น

    เพราะฉะนั้น ถ้าพูดถึงปัญญาก็เป็นอีกคำหนึ่งซึ่งในภาษาไทยก็ใช้คำนี้ ในโรงเรียนครูก็จะรายงานว่า มีสติปัญญามากน้อยแค่ไหน แต่ไม่ใช่ปัญญาเจตสิก นี่เป็นความต่างกัน สิ่งที่เราเข้าใจว่า เป็นปัญญาทางโลก ที่เราเข้าใจว่า สามารถสร้างเครื่องยนต์กลไกต่างๆได้ สามารถคิดยารักษาโรค สามารถคิดสร้างสิ่งที่วิจิตรต่างๆ ถ้าขณะนั้นไม่รู้ความจริงที่เป็นปรมัตถธรรมไม่ใช่ปัญญาเจตสิก เราขอยืมคำมาใช้ แต่เราก็ต้องทราบว่า ปัญญาเจตสิกเป็นธรรมที่สามารถเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่กำลังปรากฏ จนกระทั่งประจักษ์แจ้งการเกิดดับ ท่านพระสารีบุตรต้องมีปัญญาเข้าใจคำว่า “ธรรม” ต้องมีปัญญาในขณะที่ฟัง รู้ว่าขณะนั้นเป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัยต่างกัน และสามารถประจักษ์การดับไป

    เพราะฉะนั้น เมื่อสามารถประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม ก็คลายความยึดถือว่าเป็นเรา เพราะเป็นสภาพธรรมที่เกิดดับ เมื่อคลายความยึดมั่นในสิ่งที่เคยเป็นเราทั้งหมด หรือสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม เห็นโทษภัยว่าเป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เกิดดับ จึงน้อมไปสู่การมีนิพพานเป็นอารมณ์ได้ ตราบใดที่ยังพอใจในโลก คือ ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ในความเป็นเรา เมื่อนั้นก็ไม่สามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรมที่ ๓ คือ นิพพาน ถ้าไม่ประจักษ์แจ้งลักษณะของนิพพาน โดยวิธีใดก็ตาม ไม่สามารถดับกิเลสได้

    เพราะฉะนั้น การเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือการเป็นพระอัครสาวกของท่านพระสารีบุตร ก็คือปัญญาที่รู้ความจริงของสภาพธรรม แต่ว่าพระอรหันต์อื่นนอกจากท่านพระสารีบุตร ก็ไม่ได้เป็นเอตทัคคะ คือไม่ได้เป็นผู้เลิศ ไม่ได้เป็นอัครสาวกผู้เลิศทางปัญญาอย่างท่านพระสารีบุตร

    เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นระดับขั้นของปัญญาที่ต่างกัน ตั้งแต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอัครสาวก และพระอรหันต์อื่นๆด้วย แต่ทั้งหมดต้องรู้แจ้งอริยสัจธรรม ต้องเป็นปัญญาที่ดับกิเลส เพราะมีนิพพานเป็นอารมณ์ ขณะนี้เองถ้าอบรมเจริญปัญญาเท่าท่านพระสารีบุตร หรือจะน้อยกว่าก็ได้ แต่สามารถรู้แจ้งลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้ ก็สามารถประจักษ์ได้ เพราะเหตุว่าเป็นความจริง

    ขณะนี้ความจริงคือสภาพธรรมเกิดแล้วดับ พอจะเชื่อหรือยังคะว่าเป็นอย่างนี้ หรือเป็นแต่เพียงแนวทางที่เริ่มเข้าใจว่า แท้ที่จริงทุกอย่างไม่เที่ยง เราพูดกันบ่อยๆ แต่พูดระยะไกล ใช่ไหมคะ เกิดมาแล้วแก่ แล้วก็เจ็บ แล้วก็ตาย ก็บอกว่าไม่เที่ยง วันนี้เป็นอย่างนี้ พรุ่งนี้เป็นอีกอย่างหนึ่ง ก็ไม่เที่ยง วันนี้แข็งแรงดี พรุ่งนี้ป่วยไข้ เป็นโรคร้ายแรงก็ไม่เที่ยง เราเข้าใจความไม่เที่ยงในระยะที่ยาวมาก แต่ขณะนี้เองไม่นับเป็นวินาทีเลย เพราะว่าเร็วกว่านั้นมาก ที่ทรงแสดงไว้ก็คือว่า ทรงแสดงอายุของรูปๆหนึ่ง ขอให้คิดถึงที่โต๊ะ หรือที่หนึ่งที่ใดมีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่อย่างละเอียดยิบ พร้อมจะแตกทำลายเมื่อไรก็ได้ เพราะฉะนั้น ในกลุ่มเล็กที่สุดกลาปหนึ่งที่เกิดมามีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ ซึ่งการเกิดดับของจิต ๑๗ ขณะ ขอให้คิดดูว่า ขณะที่กำลังเห็นไม่ใช่ขณะที่กำลังได้ยิน ไม่ใช่ขณะที่กำลังคิด เพราะถึงไม่เห็นก็คิดได้ เพราะฉะนั้น การคิดอาศัยการเห็นแล้วคิดก็มี อาศัยการได้ยินแล้วคิดก็มี หรือไม่อาศัยการเห็น การได้ยินเลย แต่คิด เช่นขณะที่ฝันก็คิด

    เพราะฉะนั้น ทรงแสดงไว้ว่า จิตที่เห็นกับจิตที่ได้ยินในขณะนี้ซึ่งดูเสมือนว่าพร้อมกัน ไม่มีอะไรที่ทำให้เห็นว่า แยกขาดจากกันตอนไหนได้เลย แต่ความจริงจิตที่เกิดคั่นระหว่างจิตเห็นกับจิตได้ยินเกิน ๑๗ ขณะ

    เพราะฉะนั้น รูปๆหนึ่งหรือกลาปหนึ่งซึ่งมีอากาศธาตุแทรกคั่นอย่างละเอียดยิบ มีปัจจัยเกิดแล้วดับ มีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ รูปจะดับเร็วสักแค่ไหน เร็วยิ่งกว่านักวิทยาศาสตร์ใดๆจะสามารถคิดได้ว่า ในขณะที่เหมือนเห็นกับได้ยินพร้อมกัน รูปดับไปแล้ว ทั้งๆที่แยกกันไม่ออก

    นี่คือพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าศึกษาโดยละเอียดและอบรมเจริญปัญญามาจริงๆ ก็จะต้องประจักษ์อย่างนี้ เพราะความจริงเป็นอย่างนี้

    ความจริงที่ทรงแสดงไว้ทั้งหมดสำหรับให้พุทธบริษัทได้ศึกษาและได้อบรมเจริญปัญญาที่จะสามารถประจักษ์ความจริงนี้ได้


    หมายเลข 1959
    2 ก.ย. 2558