เหตุใดอุปปติสสะและโกลิตะบรรลุธรรมโดยฉับพลัน


    ถาม   ที่ท่านอุปปติสสปริพาชกได้ฟังธรรมจากท่านพระอัสสชิแล้วบรรลุธรรมโดยฉับพลัน เพียงแต่ฟังว่า ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าทรงแสดงเหตุและความดับแห่งธรรมนั้น ท่านได้บรรลุธรรม และนำพระธรรมข้อนี้ไปแสดงแก่โกลิตปริพาชก ซึ่งท่านก็ได้บรรลุธรรมเช่นกัน อยากถามว่า เพราะเหตุใดท่านจึงสามารถบรรลุธรรมได้โดยฉับพลัน ขอคำอธิบายค่ะ

    ส.   ก่อนอื่นคงต้องทราบว่า ธรรมคืออะไรก่อน ที่ท่านพระสารีบุตรบรรลุ ท่านรู้อะไร หรือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงธรรมอะไร ซเพราะถ้าเราเพียงอ่านเรื่องของท่านพระสารีบุตรในสมัยที่ยังไม่ได้บวช ยังไม่ได้ฟังธรรม ท่านต้องสะสมปัญญามามาก เพียงฟังพระธรรมสั้นๆ ก็สามารถรู้ได้ ซึ่งในคนในยุคนี้ก็ต่างกับคนในยุคก่อน เพราะเหตุว่าคนในยุคก่อนฟังแล้วสามารถเข้าใจได้รวดเร็ว แต่คนในยุคนี้คงต้องเริ่มตั้งแต่คำว่า “ธรรม” คืออะไร ที่ท่านพระสารีบุตรสามารถรู้ได้ เป็นธรรมเดียวกับที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้หรือเปล่า ก็เป็นเรื่องที่ละเอียด เพราะฉะนั้นก็ขอให้ทุกคนได้คิดถึงคำว่า “ธรรม” แล้วพยายามศึกษายิ่งขึ้น เช่น ธรรมคืออะไร

    ก่อนอื่นถ้าใช้คำว่า “ธรรม” ก็คงจะยาก ต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างตอบ แต่ถ้าจะถามว่า ขณะนี้ความจริงคืออะไร หรือความจริงของชีวิต เพราะเหตุว่าทุกคนเกิดมาแล้วมีชีวิตแน่นอนที่นั่งอยู่ที่นี่ แต่ชีวิตในวันหนึ่งๆ ซึ่งเป็นความจริงของทุกคนคืออะไร ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมทั้งหมด แต่ก่อนจะได้ฟังพระธรรม ทุกคนก็เห็น ทุกคนก็ได้ยิน เป็นชีวิตประจำวันจริงๆ แต่ว่าเป็นเรา ไม่คุ้นเคยกับการเข้าใจว่า ที่เข้าใจว่าเป็นเรา ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงก็คือธรรม

    เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้เราคงเข้าใจความหมายของคำว่า “ธรรม” ว่า ธรรมหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง ซึ่งอาจจะไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า เห็นก็เป็นธรรม เสียงก็เป็นธรรม เสียใจในวันหนึ่งๆ ก็มี ความรู้สึกเสียใจก็เป็นธรรม เสียงมีจริง เสียงเป็นธรรม กลิ่นมีจริง ก็เป็นธรรม รวมความว่าทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม

    พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ธรรม คือรู้แจ้งความจริงของสภาพที่มีจริงๆ ที่ปรากฏกับทุกคนในชีวิตประจำวัน ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ทุกขณะ เช่น ขณะนี้เป็นธรรม ขณะที่เห็นมีธรรมไหม เคยขาดธรรมบ้างไหม ตั้งแต่เกิดมาขาดธรรมบ้างหรือเปล่า มีท่านผู้หนึ่งที่ท่านไปแสวงหาธรรม ซึ่งตอนนั้นท่านก็ไม่เข้าใจว่า ธรรมคืออะไร ท่านก็เดินทางไปทางเหนือ ทางใต้ ตะวันออก ตะวันตก หาไป ท่านก็ยังไม่พบว่าธรรมคืออะไร แต่เมื่อท่านเข้าใจว่า ธรรมคืออะไร คือ ทุกอย่างที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ท่านบอกว่า ลืมตาตื่นก็พบธรรมแล้ว เพียงแต่ยังไม่เข้าใจความละเอียดความจริงของธรรม ซึ่งจากการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา หมายความว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล แต่เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละอย่างมีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่างจริงๆ

    ก็ย่อมาก มาถึงท่านพระสารีบุตรตอนได้ฟัง ก็ได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม รวมความว่า ท่านได้ฟังธรรมสั้นๆ แล้วก็สามารถเข้าใจอริยสัจธรรมทั้ง ๔ คือรู้ว่า สภาพธรรมมีปัจจัยจึงเกิดขึ้นได้ ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ลอยๆ เลย เช่น เราเห็นสิ่งที่น่าพอใจ ก็ทำให้ติดข้องยินดีพอใจ ถ้าเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ก็ทำให้ขุ่นใจ ก็เป็นไปตามเหตุการณ์ เป็นไปตามสิ่งที่มาปรากฏให้เห็นทางตา ให้ได้ยินทางหู ให้ได้กลิ่นทางจมูก ให้ได้ลิ้มรสทางลิ้น ให้กายกระทบสัมผัส แล้วก็ปรุงแต่งคิดนึกเป็นเรื่องต่างๆ แต่ว่าสภาพธรรมที่เป็นอริยสัจธรรมก็คือสภาพธรรมที่เกิด ขณะนี้เกิดจึงได้ปรากฏแล้วดับไป  ถ้าไม่สามารถประจักษ์การเกิดดับก็ไม่ใช่ทุกขอริยสัจจะ เพราะเวลาพูดถึงอริยสัจธรรม ๔ ทุกคนก็ทราบว่า อริยสัจที่ ๑ คือทุกข์ อริยสัจที่ ๒ สมุทัย เหตุแห่งทุกข์ อริยสัจที่ ๓ คือ ทุกขนิโรธ การดับทุกข์ และอริยสัจที่ ๔ คือหนทางปฏิบัติที่ทำให้รู้แจ้งอริยสัจธรรม คือทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา หนทางที่ทำให้รู้แจ้งอริยสัจธรรม

    ซึ่งขณะนี้ถ้ายังไม่ได้ศึกษาธรรม เราก็เข้าใจทุกข์เพียงแค่เวลาป่วยไข้ และประสบกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจ นั่นคือความทุกข์ของเรา ซึ่งเคยคิดว่า สิ่งต่างๆเหล่านั้นเป็นทุกข์  แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ทุกข์ยิ่งกว่านั้น คือไม่ได้ตรัสรู้เพียงว่า ทุกขเวทนาหรือความรู้สึกเป็นทุกข์ ความไม่สบายใจต่างๆ แต่ตรัสรู้ว่าสภาพธรรมใดก็ตามซึ่งเกิด สภาพธรรมนั้นดับ ขณะนี้สภาพธรรมกำลังเกิดดับ เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่ตัวตน เราไม่สามารถยับยั้งให้สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดที่เกิดดำรงอยู่ได้ ขณะที่เห็นเป็นขณะเดียวกับขณะที่ได้ยินหรือเปล่าคะ ถ้าไม่ศึกษาก็คิดว่าพร้อมกันเลย ทั้งเห็นด้วย ทั้งได้ยินด้วย แต่ถ้าคิดถึงขณะที่สั้นมาก เร็วมาก เช่น เห็นต้องอาศัยจักขุปสาท ถ้าไม่มีจักขุปสาทจะไม่เห็นเลย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ใครไม่มีจักขุปสาท แล้วบอกว่าจะเห็น พยายามให้เห็น ทำให้เห็น ก็เป็นไปไม่ได้

    เพราะฉะนั้น สภาพธรรมทั้งหมดก็ต้องมีเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิด และเมื่อสภาพธรรมนั้นเกิดแล้วก็ดับ สลับกันรวดเร็วมากทีเดียว เช่น ทางตาไม่ใช่ทางหู จิตเห็นไม่ใช่จิตได้ยิน ไม่ใช่จิตคิดนึก

    เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ จะมีจิตซึ่งเกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับสืบต่อกันรวดเร็ว แต่เมื่อไม่ประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม ก็ไม่รู้จักอริยสัจธรรม รู้จักแต่ทุกขเวทนา หรือความรู้สึกไม่พอใจเท่านั้น

    เพราะฉะนั้น ก็ต้องเริ่มศึกษาธรรมให้เข้าใจละเอียดขึ้นๆ ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรม และเป็นธรรมที่มีจริง ขณะนี้กำลังเป็นอย่างนั้น และที่จะเกิดธรรมหนึ่งธรรมใดก็เพราะมีเหตุปัจจัยเฉพาะสภาพธรรมนั้นๆ เช่น จิตเห็นก็จะต้องมีจักขุปสาท ไม่ได้อย่างนั้นก็เห็นไม่ได้ จิตได้ยินก็ต้องมีโสตปสาท ถ้าไม่มีโสตปสาท จิตได้ยินก็มีไม่ได้ แล้ววันหนึ่งๆ ตั้งแต่ลืมตาตื่นก็ไม่พ้นตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นทางที่นำให้เกิดเรื่องที่จะคิดนึกเป็นสุข เป็นทุกข์ต่างๆ

    เพราะฉะนั้น ถ้าทุกคนจะย้อนไปคิดว่า สุขของทุกคนมาจากอะไร ก็ต้องมาจากเห็น มาจากได้ยิน มาจากได้กลิ่น มาจากลิ้มรส มาจากรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ปรุงแต่งให้เป็นความคิดนึกเป็นสุข เป็นทุกข์ต่างๆ

    นี่คือชีวิต ซึ่งความจริงของชีวิตก็คือธรรม ทุกอย่างที่เป็นจริงเป็นธรรม และเมื่อใช้คำว่า “ธรรม” ก็แสดงอยู่ในตัวว่า ไม่มีใครเป็นเจ้าของเลย แต่เป็นสิ่งที่มีจริง แล้วก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    ไม่ทราบตอนนี้มีข้อสงสัยอะไรไหมคะ เพราะกว่าจะถึงท่านพระสารีบุตรรู้แจ้งอริยสัจธรรม ที่เราจะเข้าใจอย่างนั้นได้ เราก็ต้องเริ่มต้นเข้าใจว่า ธรรมคืออะไร และถ้าขณะนี้ใครสะสมปัญญามาพอ ก็สามารถประจักษ์การเกิดดับ ทุกขอริยสัจ อย่างที่ท่านพระสารีบุตรได้ประจักษ์ แต่ถ้ายังไม่ประจักษ์ ก็ต้องอบรมด้วยการฟัง การเข้าใจเพิ่มขึ้น


    หมายเลข 1956
    2 ก.ย. 2558