พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งแท้จริง


    สิ่งที่สำคัญก็คือว่า มีสภาพธรรมที่เกิดตามเหตุตามปัจจัย แล้วดับไป ไม่สิ้นสุด เพราะไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมนั้นๆ จึงยึดถือว่าเป็นเรา ซึ่งความจริงก็เป็นโลกแต่ละโลก ซึ่งปรากฏทีละขณะ ถ้าไม่มีจิตเห็นเลย โลกนี้ที่มีต้นไม้ใบหญ้า มีอะไรต่างๆ ก็ไม่ปรากฏ ถ้าไม่มีเสียงปรากฏเลย เรื่องราวต่างๆ ก็ไม่มี แต่มีเมื่อเกิดขึ้น แล้วก็ทันทีที่เห็น จักขุวิญญาณดับไป จิตต่อไปมีวิตกเจตสิก เราไม่รู้เลย จรดแล้วในสิ่งที่จักขุวิญญาณอาศัยตาเห็นแล้วดับไป ไม่ทิ้งอารมณ์นั้นเลย ขณะนี้จึงปรากฏว่า เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งต่างๆ เพราะว่าเว้นจิต ๑๐ ดวง สำหรับกามาวจรจิต คือ จิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส จิตขณะต่อๆ ไปทั้งหมดมีวิตกเจตสิกเกิดร่วมด้วย จนกระทั่งถึงกาละขององค์ของมรรคมีองค์ ๘ ที่ทำให้รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้

    นี่คือความละเอียดของธรรม ทำไมพูดบ่อยๆ ฟังแล้วจะได้ไม่ลืมว่า ไม่มีใครไปจัดสรร ไม่มีใครไปบังคับบัญชาว่า เมื่อจักขุวิญญาณดับไปแล้ว ซึ่งมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเพียง ๗ ดวง ไม่มากกว่านั้นเลย จิตขณะต่อไปก็มีเจตสิกอื่นเกิดกับจิตขณะต่อไปที่จะรู้อารมณ์ที่จักขุวิญญาณเห็นสืบต่อไป

    สิ่งต่างๆ ที่มีในขณะนี้ เว้นจิตต่างๆ เหล่านั้นแล้ว ก็ต้องมีวิตกเจตสิกเกิดร่วมด้วย แล้วถึงแม้ว่าไม่มีการเห็น การได้ยิน แต่สัญญาที่จำก็ทำให้ตรึกนึกถึงสิ่งที่กำลังนึกในขณะนั้น

    เราไม่มีทางที่จะคิดได้ว่า สภาพธรรมไม่ใช่ตัวตน เพราะเหตุว่าเป็นธรรมแต่ละลักษณะ ซึ่งเกิดเพราะมีเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป จนกว่าจะได้ฟัง ฟังแล้วละกิเลสหรือไม่ กิเลสมากมาย ถ้าไม่รู้จะไม่รู้เลยว่ามากระดับไหน เพียงแค่ฟัง ปัญญาเท่านี้ไม่สามารถดับกิเลสใดๆ ได้เลยทั้งสิ้น แต่จากการสะสมการรู้ประโยชน์ว่าตลอดชีวิตในสังสารวัฏฏ์สะสมอกุศลไว้มากมายเหลือเกิน แล้ววันนี้ก็สะสมอีก ต่อไปก็สะสมอีก กว่าจะถึงขณะสุดท้ายของโลกนี้ ชาตินี้ ก็ไม่รู้ว่า สะสมอกุศลแล้วมากมายเท่าไร แล้วใครจะทำให้อกุศลที่สะสมอยู่ในจิตหมดไปได้ ก็พอกพูนต่อไปในชาติต่อๆ ไป ซึ่งถ้ามีมาก ก็เป็นเหตุให้กระทำทุจริตกรรมทางกาย แม้เล็กน้อย ทางวาจา แม้เล็กน้อย สะสมด้วย เล็กน้อยแค่ไหนก็สะสม แล้วทางใจก็สะสมด้วย

    แต่ละคนไม่มีใครจะไปจัดการชีวิตของคนอื่นได้ แม้แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่สามารถที่จะไปเปลี่ยนจิตของแต่ละคนที่สะสมอกุศลมามากๆ ไม่ให้กรรมที่ได้กระทำแล้วเป็นปัจจัยให้เกิดในที่ต่างๆ กัน ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้เลย เพียงแต่ว่าเมื่อทรงตรัสรู้แล้ว ก็ทรงแสดงความจริงของสภาพธรรม ซึ่งผู้ที่สะสมบุญมาแล้วมีโอกาสได้ยินได้ฟัง มีความเข้าใจธรรมว่า ไม่ใช่ใครเลย เป็นจิตซึ่งเกิดแต่ละขณะ และแต่ละขณะสะสมอกุศลมามากแค่ไหน ถ้าขณะนี้ไม่สะสมปัญญาที่เริ่มเห็นถูก ก็ไม่มีทางที่อกุศลที่สะสมมาเบาบางลงไปได้

    ด้วยเหตุนี้จึงสามารถเห็นพระกรุณาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่สามารถทำให้กุศลเจริญขึ้นได้ และอกุศลค่อยๆ ลดลงไปได้ ด้วยความเข้าใจธรรม และไม่มีโลกใดเลย นอกจากโลกทางตาเห็นแล้วดับ ทางหูเกิดขึ้นได้ยินแล้วดับ จนถึงทางใจแม้คิดนึก ก็ดับไป เราจะอยู่ที่ไหน โลกที่มีคนเยอะๆ มีเหตุการณ์ต่างๆ จะอยู่ที่ไหน

    ที่พึ่ง คือ พระรัตนตรัย พระพุทธรัตนะ พระธัมมรัตนะ พระสังฆรัตนะที่ทำให้ผู้นั้นได้เข้าใจความเป็นไปของจิตตั้งแต่อดีตในสังสารวัฏฏ์จนถึงขณะนี้ และต่อไป ด้วยการเป็นผู้มีภาวนาทิฏฐานชีวิตัง คือมีชีวิตสุจริตที่มั่นคงในการอบรมปัญญา กว่าจะถึงวันนี้ได้ เราก็ต้องฟัง และไม่ใช่เราที่สามารถทำอะไรได้ แต่จากปัญญาที่ได้เข้าใจธรรม ก็จะเห็นจริงว่า โลกมีปรากฏเป็นเรื่องราวต่างๆ เพราะจิตเกิดขึ้นเท่านั้นเอง แล้วก็ดับไปแต่ละขณะ แล้วก็เป็นจิตประเภทต่างๆ

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 430


    หมายเลข 14406
    2 ธ.ค. 2568