เริ่มต้นเข้าใจว่าธรรมคืออะไร
วันนี้ จะได้เริ่มการศึกษาพื้นฐานพระอภิธรรม บางท่านอาจคิดว่า เหมือนกับเป็นขั้นต้นเหลือเกิน เพราะใช้คำว่าพื้นฐานของพระอภิธรรม แต่ว่าตามความเป็นจริง ถ้าเราเข้าใจว่าธรรมคืออะไร จะเข้าใจทันทีว่า ถ้าไม่มีพื้นฐานที่มั่นคง ก็จะศึกษาธรรมได้อย่างที่ไม่ชื่อว่าเข้าใจจริงๆ เพราะว่าอาจคิดว่าเป็นเพียงคำ เป็นภาษา หรือเป็นตัวหนังสือ แต่ทั้งหมดที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ใน ๓ ปิฎก เป็นสัจจธรรม คือ เป็นธรรมที่มีจริงๆ ที่สามารถที่จะเข้าใจได้ไม่ว่าในกาลไหน เช่น ในขณะนี้ ต้องเข้าใจว่า การศึกษาธรรม คือ มีสภาพธรรมที่มีจริงๆ และกำลังปรากฏ ซึ่งก่อนที่จะได้ศึกษาเราไม่เคยคิดเลยว่า สิ่งซึ่งมีจริงๆ ในขณะนี้ เช่นกำลังเห็น จะมีแสดงความจริงอยู่ในพระไตรปิฏก เป็นพระธรรมเทศนาหลากหลายมากมายทั้ง ๓ ปิฎก ทั้งๆ ที่วันหนึ่งๆ ก็มีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีลิ้มรส มีรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แล้วก็มีคิดนึก ซ้ำไปซ้ำมา แต่เหตุใด จึงเป็นพระธรรมที่ทรงแสดงไว้มากมายในพระไตรปิฎก และอรรถกถา ก็แสดงว่า ธรรมเป็นสิ่งที่แม้ว่่าปรากฏเป็นปกติ แต่เราไม่ได้เข้าใจธรรมตามความเป็นจริง ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น ถ้าคิดตามความเป็นจริงว่า ก่อนได้ฟัง เราไม่สามารถที่จะได้เห็นพระคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เพราะไม่รู้ว่า ทรงสามารถที่จะตรัสรู้สิ่งที่มีจริงๆ โดยละเอียดลึกซึ้ง ถูกต้อง จนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสได้หมดไม่เหลือเลย ซึ่งการที่จะรู้ว่าแต่ละคนมีกิเลสมากมายสักแค่ไหน ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมก็ไม่สามารถจะรู้ได้ ต่อเมื่อได้ฟังพระธรรม เริ่มเห็นความต่างของก่อนฟังกับการที่เริ่มได้ฟัง ว่าก่อนฟังไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น มีชีวิตวันหนึ่ง วันหนึ่ง ก็เป็นเรื่องของรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ วงศาคณาญาติ บ้านเมือง ข่าวสารต่างๆ แต่ไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า ขณะนั้นเป็นธรรม หรือไม่ เพราะบางท่านก็เข้าใจว่าธรรมอยู่ที่อื่น ไม่ใช่อยู่ที่สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่ว่าตามความเป็นจริงแล้ว ธรรม คือในขณะนี้ ศึกษาสิ่งที่กำลังมีอยู่ในขณะนี้ ให้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง ยากหรือง่าย ลองไตร่ตรอง ขอให้ทุกคนร่วมกันสนทนา
ผู้ฟัง เรียนถามอาจารย์ว่า สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แต่ยิ่งศึกษามากขึ้นมากขึ้น รู้สึกว่า เราไม่เข้าใจว่า คืออย่างไรกันแน่
ท่านอาจารย์ แท้จริงแล้วต้องเข้าใจคำที่ใช้ด้วยว่า "อนัตตา" หมายความถึง ไม่ใช่ตัวตน คำว่า "เรา" เข้าใจได้ มีแน่นอนขณะนี้ แต่ไม่รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแล้ว ไม่มีตัวตนจริงๆ แต่มีสภาพธรรม เพราะฉะนั้น จากการที่เคยเป็น "เรา" มานานแสนนาน ก็เริ่มที่จะเข้าใจเมื่อได้ฟังพระธรรมว่า เป็นลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะคือพื้นฐานที่ทำให้เราเข้าใจว่า เรากำลังศึกษาสภาพธรรมที่มีจริงๆ เพื่อค่อยๆ เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงว่า ทุกอย่างที่เคยเป็นเรา เห็นเป็นเรา ได้ยินเป็นเรา คิดนึกเป็นเรา แม้ขณะนี้มีการเห็นบุคคลต่างๆ สิ่งต่างๆ นั้น แต่แท้จริงแล้ว ทั้งหมดเป็นธรรม และธรรมก็มีหลากหลายมากมาย ทรงแสดงละเอียดขึ้น หลากหลายขึ้น จนกระทั่งเราสามารถที่จะเห็นว่า แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่มีปรากฏในชีวิตประจำวัน ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซ้ำไปซ้ำมา แต่สภาพธรรมแต่ละอย่างมีปัจจัยเกิดขึ้นปรุงแต่งแต่ละขณะ ไม่เหมือนกันเลย เช่น ขณะเมื่อสักครู่นี้กับขณะนี้ ดูเหมือนว่าเห็นคนเดิม แต่ความจริงแล้ว เป็นความเห็นที่ไม่ถูก ความไม่เข้าใจถูก ในลักษณะสภาพธรรมที่เกิดแล้วก็ดับ เกือบจะเรียกได้ว่าทันที เร็วมาก แต่เพราะมีความทรงจำในทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏ จนกระทั่งเหมือนกับว่า มีสิ่งนั้นจริงๆ แม้ว่าไม่มีแล้ว แต่ก็ยังเข้าใจว่ามี หรือเข้าใจว่ายังมีอยู่ นี่คือความที่เป็นอัตตสัญญา การทรงจำว่ามีเรา หรือเป็นเรา
ผู้ฟัง ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา หมายความว่าไม่มีตัวตน ไม่มีสัตว์ บุคคล ถ้าจะเปรียบกับที่เรายึดกันอยู่นานๆ เป็นเรา ก็คือหมายความว่าสิ่งที่มีแล้วก็หายไปแล้ว เรื่องเมื่อวานก็ดับไปแล้ว ไม่กลับมา อย่างนั้น หรือ
ท่านอาจารย์ นั่นเป็นความคิดนึกเรื่องราวของธรรม ซึ่งธรรมตัวจริงละเอียดกว่านั้นมาก เล็กน้อยกว่านั้นมาก และไม่มีเรื่องราวเลย เป็นแต่เพียงการทรงจำที่ทำให้คิดเป็นเรื่องราวต่างๆ นี้ก็เป็นสิ่งที่เราเริ่มมองเห็นแล้วว่า แม้เราจะมีชีวิตอยู่ แต่ไม่ได้รู้ลักษณะของสภาพธรรม เริ่มเห็นอวิชชา และเริ่มรู้สึกตัวว่า เราอยู่ในความมืดจริงๆ มืดสนิท เหมือนคนตาบอด เพราะแม้ว่าสภาพธรรมมี แต่ไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็เหมือนกับว่า ไม่รู้อะไรเลย มีแต่ความเป็นเรา ซึ่งไม่ใช่ความเข้าใจถูกในลักษณะของสิ่งที่มี
ผู้ฟัง หมายความว่าที่พระองค์ทรงแสดงว่า สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา คือความจริง แต่พวกเราคงไม่สามารถรู้ถึงความจริงนั้น จนกว่าจะต้องอบรมจนมีปัญญาที่แก่กล้าอย่างนั้น ใช่ หรือไม่
ท่านอาจารย์ เพียงได้ยิน คำว่า “ทุกอย่างเป็นธรรม” ก็ผ่านไม่ได้แล้ว เพราะว่าได้ยินบ่อยๆ ว่า ทุกอย่างเป็นธรรม แต่เมื่อได้ "เห็น"เป็นอะไร เริ่มแสดงความต่างว่า เพียงขั้นฟัง เราฟัง และเริ่มเข้าใจได้จริง แต่เวลาที่สภาพธรรมปรากฏ เราไม่ได้เข้าใจความจริง ตามที่ได้ยินได้ฟังมา เพราะฉะนั้น ต้องอบรมเจริญปัญญาจนกว่าจะเป็นความรู้จริงของตนเอง ประโยชน์ของการศึกษาธรรม คือ เป็นปัญญา เป็นความเห็นถูกของเรา ที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น เจริญขึ้น มิฉะนั้นการฟังธรรม หรือการศึกษาธรรมจะไม่มีประโยชน์เลย ถ้าเราไม่สามารถที่จะเห็นถูก เข้าใจถูก ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏจริงๆ ในขณะนี้
ผู้ฟัง ถ้าแรกๆ ในการฟังว่าทุกอย่างเป็นธรรม ก็ไปลงตรงที่ว่าธรรมชาติ
ท่านอาจารย์ ก็เริ่มคิดเองแล้ว เริ่มคิดถึงธรรมชาติ เริ่มคิดถึงอย่างอื่น แต่จริงๆ ธรรมคือสิ่งที่กำลังปรากฏ เช่น ทางตา มีสิ่งที่กำลังปรากฏ จะต้องเข้าใจในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ และสภาพที่สามารถเห็นสิ่งนั้นได้ นี่คือความเข้าใจธรรม แต่ถ้าเป็นเรื่องราวเมื่อไหร่ ขณะนั้นไม่ได้ศึกษาธรรม แต่เป็นการคิดถึงเรื่องราวของธรรม แต่ตัวธรรมจริงๆ ถ้าค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจว่า ไม่ใช่อยู่ที่อื่นเลย แต่อยู่ที่เดี๋ยวนี้ ฟังไป เข้าใจไป ทีละเล็กทีละน้อยว่าขณะนี้เป็นธรรม และรู้ตามความเป็นจริงว่า แล้วเมื่อไหร่ที่ปัญญาจะสามารถรู้ว่าเป็นธรรม แสดงให้เห็นว่า การฟังที่เริ่มต้น ยังไม่สามารถที่จะเข้าถึงตัวธรรมได้ เพียงแต่ว่าเริ่มได้ยินเรื่องราวของธรรม เหมือนคนที่อยู่ในความมืด ยังไม่เห็นอะไรเลยสักอย่างตามความเป็นจริง แต่เริ่มได้ยินพระธรรมที่จะทำให้รู้ว่า ตรงนี้มีอะไร คือ ตรงนี้มีธรรม มีสิ่งที่ลึกซึ้งมาก มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ถ้าไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง สิ่งนี้เกิดปรากฏไม่ได้เลย แต่สิ่งใดก็ตามที่ปรากฏ หมายความว่าสิ่งนั้นเกิดแล้ว ถึงแม้ว่า เราจะยังไม่รู้ แต่โดยเหตุผล ถ้าสิ่งนั้นไม่เกิด จะปรากฏได้อย่างไร เพราะฉะนั้น เห็นความลึกซึ้ง ว่าขณะนี้เหมือนมีสิ่งที่ปรากฏแล้วโดยไม่รู้ว่าเกิดขึ้น แล้วจะไปรู้ตอนไหนว่าเกิด ก็เพราะเหมือนมีอยู่ตลอดเวลา ใช่ หรือไม่ เพราะว่าสิ่งนั้นก็ไม่ได้ปรากฏว่าดับ แล้วจะมีสิ่งที่เกิดให้รู้ได้อย่างไรว่า ขณะนี้มีสภาพธรรมที่เกิดแล้วก็ดับ นี่คือการฟังให้เข้าใจเรื่องราวของสิ่งที่มีจริงๆ จึงเป็นการศึกษาธรรม และคำทุกคำที่ใช้ในภาษาหนึ่งๆ ก็เพื่อที่จะส่องไปถึงลักษณะของสภาวธรรมให้เข้าใจในลักษณะของสภาพธรรมจนกว่าเราจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น
มีใครคิดว่าเริ่มฟังแล้วจะเข้าใจได้เลยทันทีหรือไม่ ต้องฟังนานมาก เพียงแต่ฟังขณะนี้ ว่า เป็นธรรม ไม่นานก็ลืมได้ เพราะว่าคุ้นเคยกับความหลงลืม และคุ้นเคยกับความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ก็จะมีแต่ความคิด และความทรงจำ เวลาที่ฟังพระธรรม ก็เริ่มที่จะทรงจำ และคิดเรื่องราวของธรรม แต่ถึงกระนั้นก็ยังเป็นความคิด ไม่ใช่ลักษณะของธรรมจริงๆ ซึ่งธรรมแต่ละอย่างก็ปรากฏแต่ละทางได้ เพราะอันที่จริงแล้วธรรมก็คืออย่างนี้ ไม่ว่าเราจะฟังครั้งไหนก็ตาม ถ้าเป็นความสามารถที่เข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ นั่นคือการศึกษาที่ถูกต้อง เพราะว่าเป็นการพูดถึงเรื่องสิ่งที่มีจริงๆ ให้รู้ว่าไม่มีใครสามารถที่จะหลีกเลี่ยง หนีไม่พ้น สภาพเห็น ได้ ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แต่ไม่รู้ว่ามาจากไหน และความจริงของสิ่งนั้นคืออะไร เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นสิ่งที่มีจริงแล้ว ลึกซึ้ง เพราะว่าต้องเป็นพระปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี และตรัสรู้ความจริงเรื่องที่ดูเหมือนธรรมดาๆ อย่างนี้ แต่สามารถให้เราประจักษ์ได้ถึงความไม่ใช่เรา ไม่เป็นตัวตน ไม่มีอะไรเลย นอกจากมีสภาพธรรมที่จะปรากฏได้เฉพาะแต่ละทาง และก็ไม่ยั่งยืนด้วย เพราะว่าเมื่อปรากฏแล้วก็หมดไปๆ แต่เมื่อไม่รู้เช่นนี้ และผู้ตรัสรู้ ทรงตรัสรู้ เช่นนี้ เราก็ต้องอบรมเจริญปัญญาจนกว่าจะค่อยๆ รู้อย่างนี้ได้ เป็นผู้ที่ไม่ประมาท คือไม่คิดว่ารู้แล้วในสิ่งที่กำลังปรากฏ
ผู้ฟัง ธรรมทุกอย่างเป็นอนัตตา เมื่อพิจารณารูปของสัตว์โลกซึ่ง ...
ท่านอาจารย์ ยังไม่ต้องคิดถึงเรื่องสัตว์โลก คิดเฉพาะสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ เวลานี้ ถ้าพูดถึงสิ่งที่ไม่ปรากฏกับเรา ก็เหมือนสิ่งที่อยู่ในความมืด จะพูดเรื่องกลาป กลาปก็ไม่ได้ปรากฏ จะพูดเรื่องจิต เจตสิก ก็เพียงเริ่มที่จะรู้ว่ามีอะไรในความมืด แต่ยังไม่สว่างพอที่จะเห็นลักษณะของจิต ลักษณะของเจตสิก ลักษณะของรูป ทุกคนอยู่ในห้องมืด ในความมืดสนิท แต่มีเสียงที่จะทำให้เริ่มจะเข้าใจสิ่งที่มี และสามารถที่จะพิจารณาไตร่ตรองได้ คุณวิจิตรมีความมั่นใจจริงๆ หรือไม่ว่า "เห็น"เป็นธรรม
ผู้ฟัง ครับ
ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้น ต้องศึกษาจนกว่าจะเข้าใจชัดในความเกิดขึ้น และดับไปของธรรม ไม่ใช่คิดเรื่องอื่น แต่ต้องค่อยๆ เข้าใจ สิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้ ว่า เป็นธรรม และศึกษาเรื่องนี้ให้เข้าใจ
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ได้กล่าวว่า สภาพธรรมที่ปรากฏอยู่ ง่ายไหมที่จะรู้ ดิฉันคิดว่า จริงๆ สิ่งที่ปรากฏอยู่ ก็น่าจะง่ายที่จะรู้ แต่เราไม่ทราบว่าอะไรคือธรรม ตั้งแต่เป็นเด็กเล็กๆ ก็ไม่ได้ฟังธรรมเลย ก็ไม่ทราบว่า อะไรคือธรรม เมื่อโตมาแล้ว ถึงฟัง ก็ยังฟังน้อย จึงเป็นจุดที่ทำให้เราไม่ทราบว่า อะไรคือปรากฏ
ท่านอาจารย์ นี่เป็นเหตุให้เรามานั่งที่นี่ และเหมือนเด็กอนุบาล นักเรียนอนุบาลจริงๆ หรือท่านใดไม่อยากอยู่ชั้นนี้ อยากจะไปไกลๆ
ผู้ฟัง แต่จะไปไกล แค่ไหน ถ้าไม่เข้าใจตรงนี้ก็ไม่มีประโยชน์
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง การศึกษาต้องตามลำดับ และก็เป็นความเข้าใจของเราเอง ที่ห่วงใยก็คือ ขอให้เป็นความเข้าใจของแต่ละท่านที่ฟัง พิจารณา และไตร่ตรอง และไม่คิดถึงเรื่องอื่นที่ไม่ได้ปรากฏ แต่ให้เข้าใจว่าสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ เคยเป็นเรา เคยเข้าใจว่า"เรา" แต่พระผู้มีพระภาคพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ และทรงแสดงว่าเป็นธรรม คือเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถจะบังคับบัญชาได้เลย เห็นเกิดขึ้นขณะนี้ จะไม่ให้เห็นไม่ได้ เพราะเห็นเกิดแล้ว ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยที่จะทำให้เห็นเกิด เห็นเกิดได้หรือไม่ คนตาบอด อย่างไรๆ ก็เห็นไม่ได้ เพราะว่าไม่มีเหตุปัจจัยให้เห็นเกิดขึ้น นอนหลับสนิทก็ไม่มีเห็น เพราะว่าไม่มีปัจจัยที่เห็นจะเกิด เพียงค่อยๆ พิจารณาถึงความจริงในชีวิตประจำวัน แยกออกมา เป็นแต่ละขณะ และแต่ละทาง เช่น ทางตา กำลังมีสิ่งที่เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ทางหู มีสิ่งที่เป็นธรรมที่มีลักษณะต่างกับทางตา เพราะฉะนั้น ธรรมเริ่มมีลักษณะให้เห็นว่า ต่างๆ กัน ไม่ใช่อย่างเดียวกันเลย
ผู้ฟัง ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา ศึกษาอย่างไรให้ถูกต้อง
อ.วิชัย จากตอนต้นที่ท่านอาจารย์กล่าวให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงขณะนี้ เพราะเหตุว่าขณะนี้กำลังนั่งอยู่ และมีธรรม ซึ่งความจริง คือสิ่งที่มีจริงๆ นั่นเอง เพราะฉะนั้น ถ้าเราฟัง เช่น เรื่องของการเห็น ทุกท่านก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ขณะนี้กำลังเห็น ไม่ใช่ไม่เห็น เพราะเหตุว่า มีสิ่งที่ปรากฏ แต่ว่าเพียงกล่าวแค่นี้ ไม่เพียงพอ ฉะนั้น ต้องศึกษาว่า การเห็นคืออะไร และเป็นอะไร เกิดจากอะไร ฉะนั้นถ้าเข้าใจจริงๆ ว่าแม้แต่การเห็น อะไรที่เห็น
พระผู้มีพระภาคทรงแสดงสภาพธรรมที่มี ๒ ประเภท คือ สภาพที่รู้ กับสภาพที่ไม่รู้อะไรเลย ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ที่เราเคยคิดเป็นเรื่องราวต่างๆ มากมาย เป็นบุคคลโน้น บุคคลนี้ เป็นโลก เป็นประเทศต่างๆ แต่จริงๆ ก็มีเพียงธรรม ๒ ประเภทเท่านั้น คือนามธรรม หมายถึงเป็นสภาพรู้ ถ้าปราศจากนามธรรมคือสภาพรู้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่มีเลย คือ ไม่ปรากฏเป็นสิ่งที่รู้ จะเกิดเหตุการณ์อะไร ในเมื่อไม่มีสภาพรู้ สิ่งนั้นก็ไม่ปรากฏ สภาพอีกอย่าง เรียกว่า รูปธรรม เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย ฉะนั้น ในตอนต้นคือ เริ่มเข้าใจตามลำดับ แต่ความเข้าใจนี้ก็ไม่เพียงพอ เพราะเหตุว่าเป็นเพียงการกล่าวเพื่อจะให้เข้าใจในสิ่งที่มีจริงๆ
อ.ธีรพันธ์ ไม่ควรกังวลเรื่องความเข้าใจว่า จะไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม เพราะว่าสิ่งที่ปรากฏไม่ได้หนีไปจากท่านเลย ขณะที่นอนหลับสนิท และขณะนี้ต่างกัน เพราะขณะนี้กำลังปรากฏ แต่ขณะที่หลับสนิทที่ผ่านมาแล้ว สภาพธรรมไม่ได้ปรากฏเลย ความเข้าใจเช่นนี้ก็เป็นความเข้าใจเล็กๆ น้อยๆ จะให้สติเกิดในขณะนี้จะเป็นไปได้ หรือไม่ ถ้าไม่มีความเข้าใจ
ท่านอาจารย์ ฟังธรรมวันนี้แล้ว จะคิดถึงการเป็นพระโสดาบัน หรือว่าให้มีสติมากๆ ก็เป็นสิ่งที่คิดด้วยความเป็นเรา ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้อะไรก็คิดถึงอย่างนั้น คิดแล้วจะได้อะไรขึ้นมาในเมื่อไม่รู้ เพราะฉะนั้นแทนที่จะไปเป็นพระโสดาบันชาตินี้ หรือเป็นอะไร ให้ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่มีให้ตรง ให้ถูกต้อง และก็ไม่ลืมแม้แต่คำแรกที่ได้ยิน คือ ธรรม และเป็นอนัตตาด้วย ต้องสอดคล้องกัน เพราะว่าธรรมทุกคำที่เป็นสัจจธรรมสอดคล้องกันทั้งหมด ต้องเป็นความจริงเป็นสัจจธรรม เพราะฉะนั้นก็คงยังเป็นชั้นอนุบาลกันต่อไป ไม่ทราบว่าจะนานเท่าไหร่ แต่ว่าแต่ละท่านจะรู้ตัวเองว่าได้ผ่านพ้นระดับขั้นของการที่เริ่มฟัง เริ่มต้นเห็นความห่างไกลของผู้ที่ตรัสรู้ กับผู้ที่ไม่รู้อะไรเลย และก็จากการที่เป็นปุถุชน คนที่ไม่รู้อะไร จนกระทั่งเป็นถึงผู้ที่อบรมเจริญปัญญาจนรู้แจ้ง ก็ต้องเป็นผู้ที่ตรง เพราะว่าต้องเป็นปัญญาของแต่ละคน ไม่ใช่ไม่มีปัญญาเลย หรือจะอาศัยปัญญาของคนอื่น ก็ไม่ได้
อ.ธิดารัตน์ กล่าวถึงการศึกษาธรรม ท่านอาจารย์ใช้คำว่า อนุบาล เป็นสิ่งที่ยากมากสำหรับผู้ที่ยังไม่เข้าใจเลย แล้วจะให้เข้าใจว่า การที่เห็นแต่ละครั้ง ใหม่เสมอ ก็เป็นอีกคำที่เข้าใจยากมาก สิ่งที่สำคัญก็คือเริ่มที่จะเข้าใจว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง และสิ่งที่มีจริงคือ สิ่งที่กำลังปรากฏให้เรารู้ ที่เป็นปัจจุบันที่เราสามารถจะรู้ได้ เป็นธรรมที่มีจริง คือ มีอยู่ ๒ ลักษณะ คือสิ่งที่รู้ และสิ่งที่ถูกรู้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ที่ศึกษาใหม่เริ่มที่จะพิจารณา และเข้าใจ
ท่านอาจารย์ ส่วนมากเรามักจะพูดแต่ความคิดความเข้าใจของเรา แต่ว่ายังไม่ทราบว่าผู้ที่ได้ฟัง ฟังแล้วจะคิดอย่างไร เข้าใจขึ้นอย่างไร หรือว่าสับสน หรือไม่ เพราะฉะนั้นขอให้พิจารณาด้วยตัวเองว่า เมื่อได้ยินคำว่าธรรม หมายถึงสิ่งที่มีจริงๆ ไม่เคยพลัดพรากจากไปไหนเลยทั้งสิ้น จะนำธรรมไปไว้ที่อื่นก็ไม่ได้ จะให้สิ่งที่กำลังมีเป็นไม่มี ก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่าเป็นสิ่งที่มี แต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นขอให้ทราบว่า เมื่อได้ฟังว่าทุกอย่างเป็นธรรม ขอให้กล่าวถึงธรรมที่มีตามที่เข้าใจ เป็นตัวอย่างว่า สิ่งใดบ้างที่เป็นธรรม
อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์แสดงให้เราฟังว่า ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง และสิ่งที่มีจริงรู้ได้อย่างไร ทางตาเห็น ทางหูได้ยิน ทางกายกระทบสัมผัส ทางจมูกได้กลิ่น ทางลิ้นลิ้มรส และทางใจคิดนึก เพราะฉะนั้นถ้าเรามีความมั่นคงว่า สัตว์ บุคคล ตัวตนไม่มี และตลอดเวลามีสภาพธรรม ถ้าเรารู้ได้ก็คือ นามธรรม กับรูปธรรม เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น เราก็จะมั่นคง และค่อยๆ ศึกษาว่าขณะนี้มีสภาพธรรมอะไรปรากฏ ก็ไม่พ้น ๖ ทาง ๖โลก นี้
อ.วิชัย ถ้ากล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ ไม่ต้องใช้คำอะไรเลย สิ่งนั้นมี หรือไม่ ฉะนั้น จะใช้คำอะไรที่จะเป็นบัญญัติ หรือจะให้เข้าใจ ถ้าเรากล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ ก็คือตรงอยู่แล้ว สิ่งไหนที่มีจริงๆ จะเรียก หรือไม่ว่า ชื่ออย่างนั้น อย่างนี้ก็ตาม แต่ว่าโดยสภาพโดยลักษณะของเขาก็จะไม่เปลี่ยนแปลงเลย เช่น "เห็น" ไม่ว่าจะเกิดแก่บุคคลใด ในภาษาอื่นจะใช้คำอื่น แต่สิ่งที่สามารถรู้แจ้งได้ทางตานั้น คือ จิตเห็นเกิด นั่นคือ สิ่งที่มีจริง นั่นคือ ธรรม สิ่งที่มีจริง คือไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ คือ เกิดขึ้นเป็นลักษณะอย่างนั้นอยู่แล้ว
ผู้ฟัง จะกล่าวว่าการเห็นเป็นธรรมชาติของตา ...
ท่านอาจารย์ ก็ชอบใช้ภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาธรรม แต่ถ้าเราจะฟังธรรมแล้วใช้คำให้เข้าใจ หรือจะไม่ใช้คำว่าธรรม ใช้คำว่าสิ่งที่มีจริง เข้าใจได้ หรือไม่ หรือว่าไม่เข้าใจคำว่าสิ่งที่มีจริง ต้องใช้คำว่าธรรม หรือ ใช้คำว่า ธรรม แล้วไม่เข้าใจ ต้องใช้คำว่า ธรรมชาติ นั่นคือเราไปติดคำ ที่เราคิดว่าถูก หรือเราเข้าใจได้ แต่จริงๆ แล้ว จะใช้ภาษาอะไรก็ตาม แต่ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงลักษณะที่แท้จริงของสภาพธรรมนั้นได้ ลักษณะนั้นเป็นธรรมคือ เป็นสิ่งที่มีจริง เราเป็นคนไทยจะใช้ภาษาอะไรที่จะทำให้สามารถเข้าใจถึงสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ได้ ใช้คำว่าสิ่งที่มีจริง กำลังปรากฏ เข้าใจได้ หรือไม่
ผู้ฟัง เข้าใจได้
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เมื่อวานนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ยังไม่มี ยังไม่เกิดขึ้น แต่หมายความว่าสิ่งนี้กำลังมีให้รู้ได้ ให้เข้าใจได้ นี่คือธรรม มิฉะนั้น จะไปเรียนอะไร จะไปรู้อะไร จะไปเข้าใจอะไร ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมี กำลังปรากฏในขณะนี้ให้ถูกต้องในความเป็นธรรมของสิ่งนั้น
เมื่อสักครู่นี้ มีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีลิ้มรส มีรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส มีคิดนึก มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แล้วมีอะไรอีก มีเห็น จริง ขณะที่กำลังฟัง ถ้าเป็นในครั้งที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน ผู้ฟังสามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ แต่เราพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกเรื่อง “เห็น” และก็ไม่ต้องไปที่ไหนเลย ๖ โลกในชีวิตประจำวัน คือทางตามีเห็น ให้รู้ว่าขณะนี้มีเห็น เป็นธรรม ทางหูมีได้ยิน เป็นธรรม เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก เป็นธรรม เพราะมีจริงๆ ใครไม่มีบ้าง ไม่มีใครที่ไม่มีเลย แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม ถ้ารู้ว่าเป็นธรรมอย่างตอนแรกที่กล่าวว่า ถึงแม้ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา แต่เป็นสิ่งที่มีจริง ต้องเกิดจึงปรากฏ ถ้าไม่เกิด จะปรากฏไม่ได้เลย แต่ไม่เคยรู้การเกิดว่า เกิดแล้วในขณะนี้จึงได้ปรากฏ และก็ไม่รู้ด้วยว่า ทันทีที่เกิดปรากฏก็ดับไปเลย และก็มีปัจจัยที่สภาพธรรมจะเกิดสืบต่อไม่ว่างเว้นจากธรรม จึงไม่ต้องหนีไปไหน ไม่ต้องแยกธรรมออกไปจากสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ อยู่ที่ไหนก็คือธรรมทั้งนั้น แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นก็เริ่มรู้แล้วว่า ใครจะแยกธรรมออกไปได้บ้างจากชีวิตจริงทุกๆ ขณะนี้ แยกไม่ได้ หนีไม่พ้น ต้องเป็นธรรมที่มีอยู่
ผู้ฟัง คิดนึกที่กล่าวว่าทางใจ ไม่ถูก หรือครับ
ท่านอาจารย์ ยังไม่ได้ใช้คำว่าทางใจ ถามว่าอะไรมีบ้าง มีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีลิ้มรส มีการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส มีคิดนึก ให้รู้ว่าเป็นธรรม คิดนึกเป็นธรรม เพียงเท่านี้ก่อน ยอมไหม หรือว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้นต้องฟังแล้วฟังอีก แม้แต่คิดหนึ่งขณะก็ไม่ใช่เรา แค่เป็นธรรมก่อน เป็นสิ่งที่มีจริงๆ นอกจากเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แล้วยังมีความรู้สึกต่างๆ อีก ทุกท่านพิสูจน์ได้เลย ใช่ไหม ดีใจบ้าง เสียใจบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นธรรม ก็ยังไม่แยกว่าเป็นนามธรรม หรือรูปธรรม แต่เพื่อเตือนให้รู้ว่าเป็นธรรม สามารถที่จะอบรมเจริญปัญญา จากความรู้พื้นฐานขั้นต้นไปสู่การที่จะรู้จริงๆ ว่าเป็นธรรม เพราะว่าจริงๆ แล้วความรู้สึกของแต่ละท่านไม่เที่ยง ไม่มีใครสุขได้ตลอดเวลา ไม่มีใครเป็นทุกข์ตลอดเวลา และความรู้สึกก็ไม่ใช่มีแต่เฉพาะสุข หรือทุกข์ทางกาย ทางใจก็มีความรู้สึก แม้ว่าร่างกายสบายดี แต่ใจก็เป็นทุกข์ได้ เพราะฉะนั้นก็แยกความรู้สึกอีกว่า ความรู้สึกทางกายก็อย่างหนึ่ง ความรู้สึกทางใจก็อย่างหนึ่ง ทั้งหมดเป็นธรรม แล้วเวลาที่ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่ดีใจไม่เสียใจ ก็มีความรู้สึกไม่สุขไม่ทุกข์ด้วย ก็เป็นธรรมอีก เพราะฉะนั้นหนีธรรมไม่พ้นเลย เป็นธรรมทั้งหมด ที่จะให้เข้าใจจริงๆ ว่าเป็นธรรมทั้งหมด ดังนั้น มีความรู้สึกแล้ว มีอะไรอีก
ผู้ฟัง มีโทสะ
ท่านอาจารย์ โทสะ ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ แล้วแต่ระดับว่าจะเล็กน้อยนิดหน่อย หรือแค่ขุ่นใจ หรือว่ามาก ถึงกับไม่ลืม คิดบ่อยๆ นั่นก็เป็นลักษณะของธรรมอีก เป็นสิ่งที่มีจริง และต่อไปเราจะรู้ว่าทั้งหมดที่มีจริงจะแยกประเภทออกไปเป็นอย่างไร ธรรมที่เป็นกุศล ที่เป็นอกุศล ที่ไม่ใช่กุศล ที่ไม่ใช่อกุศล ก็คือสภาพทั้งหมดที่เคยเป็นเรา ก็เป็นธรรมทั้งนั้น เพราะฉะนั้น นอกจากมีความรู้สึก มีโทสะ แล้วมีอะไรอีก
ผู้ฟัง โลภะ
ท่านอาจารย์ รู้สึกจะตอบได้ไม่ยากแล้วใช่ หรือไม่ โลภะความติดข้อง สิ่งนี้เห็นยากเพราะมีตั้งแต่ระดับที่ละเอียดมาก จนกระทั่งระดับที่หยาบพอที่จะรู้สึกได้
ผู้ฟัง ความตระหนี่ ความริษยา
ท่านอาจารย์ ความตระหนี่ ความริษยา มีมาก หรือมีน้อย จะถามใคร คนอื่นตอบให้ไม่ได้เลย สิ่งที่ปรากฏกับคนอื่น เพียงแต่ว่าเป็นส่วนที่ก่อนจะปรากฏ มีแล้ว แต่ว่ายังไม่ปรากฏกับคนอื่นเลย ต่อเมื่อใดปรากฏ ก็จะปรากฏลักษณะที่คนอื่นสามารถจะคิดถึงได้ เข้าใจได้ว่าเป็นลักษณะนั้นๆ เช่น เวลาที่สนุกมากๆ คนอื่นพอจะรู้ได้ไหม ลักษณะของความเพลิดเพลิน เป็นความติดข้อง หรือเปล่า มีจริงๆ หรือเปล่า เป็นธรรม หรือเปล่า นี้คือหนีไม่พ้นเลย กำลังโศกเศร้า ร้องไห้ มีจริงๆ หรือเปล่า มีจริง เป็นของใครไหม เกิดแล้วก็หมดไป ชั่วครั้งชั่วคราว ถ้าเรามีพื้นฐานที่มั่นคงว่าเป็นธรรม ต่อไปความเข้าใจว่าเป็นธรรมจะยิ่งเพิ่มขึ้น มิฉะนั้นก็จะมีความเป็นเราแทรกเข้ามาอีก เพราะฉะนั้นจึงต้องรู้จริงๆ ว่าเป็นธรรม
อ.วิชัย กราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า ถ้าขณะที่โกรธ หรือว่าโลภ ก็พอจะรู้สึกตัวว่าโกรธ หรือว่าโลภ แต่บางท่านเป็นคนช่างคิดว่า ในขณะที่หลับสนิทซึ่งไม่รู้อะไรเลยในโลกนี้ มีธรรม หรือไม่ หรือว่าธรรมจะมีในขณะที่เราตื่นเท่านั้น
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีการตรัสรู้ เราบอกได้ หรือไม่ว่าตอนที่หลับสนิทมีอะไรบ้าง หรือบอกไม่ได้ตามความเป็นจริง
อ.วิชัย บอกไม่ได้
ท่านอาจารย์ บอกไม่ได้ แต่พอตื่นแล้วรู้ว่า มี ใช่ หรือไม่
อ.วิชัย ก็มีสิ่งต่างๆ มากมาย
ท่านอาจารย์ หมายความว่ายังมีความทรงจำ ในลักษณะที่ไม่รู้อะไรเลย อะไรก็ไม่ปรากฏเลย เพราะฉะนั้นเราจึงสามารถที่จะมีคำบอกว่า ฝัน หรือหลับสนิท หรือว่าตื่น ซึ่งทั้งหมดเป็นสิ่งที่มีจริง มีใครบ้างที่ไม่หลับ ไม่มีใช่ไหม เพราะฉะนั้น หลับมีจริง หรือไม่
อ.วิชัย มีจริง
ท่านอาจารย์ เป็นธรรม หรือไม่
อ.วิชัย ถ้ามีจริง ก็ต้องเป็นธรรม
ท่านอาจารย์ ก็ต้องเป็นธรรม นี่คือการที่เราจะไม่เหลืออะไรที่เป็นข้อข้องใจอีก ว่าอะไรเป็นธรรม หรือไม่เป็นธรรม คือสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ถ้าไม่รู้ก็คือเรา แต่ผู้รู้ รู้ว่าเป็นธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งมีเหตุปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ตอบได้แล้วใช่ไหมว่า หลับสนิท มีจริง เป็นธรรม ฝันมีจริงไหม
อ.วิชัย มีจริง
ท่านอาจารย์ เป็นธรรม หรือเปล่า
อ.วิชัย ก็ต้องเป็น
ท่านอาจารย์ ตื่น เป็นธรรม หรือเปล่า
อ.วิชัย ก็ต้องเป็น
ท่านอาจารย์ ทุกอย่างที่มีจริง ให้มีความมั่นคง ให้มีความมั่นใจจริงๆ ว่าเราศึกษาเรื่องสิ่งที่มีจริงๆ และก็สามารถที่จะเข้าใจขึ้นในความเป็นอนัตตา มิฉะนั้นจะไม่มีประโยชน์เลย ถ้าทุกอย่างอยู่ในตำรา แต่ว่าขณะนี้เรารู้อะไร เราเพียงแต่จะให้มีความเข้าใจที่มั่นคงจริงๆ ในคำว่าธรรม ถ้ากล่าวว่า “โทสะ” ทุกท่านรู้จักใช่ไหม นั่นคือลักษณะของโทสะ แม้ว่าเราจะไม่เอ่ยชื่อเลย ลักษณะของโทสะก็ต่างกับลักษณะของโลภะ ใช่ไหม ความติดข้องกับความไม่ชอบใจ ไม่ต้องการสิ่งนั้น เป็นลักษณะที่มีจริงๆ และก็ต่างกันด้วย สิ่งที่มีจริง จะมีลักษณะเฉพาะอย่างๆ ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขบังคับบัญชา หรือว่าสร้างขึ้นมาได้เลย จึงมีอีกคำหนึ่งว่า “ปรมัตถธรรม” เป็นธรรมที่มีลักษณะเฉพาะของตนๆ ซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ จะรู้เมื่อไหร่ รู้เมื่อมีปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นแล้วปรากฏ นี่คือการกล่าวแบบยาว แต่ถ้าจะกล่าวสั้นๆ ก็คือ “เมื่อปรากฏ” ทุกคนจะต้องโกรธ ขั้นขุ่นใจเล็กๆ น้อยๆ มีไหม โกรธแรงๆ มีไหม ถ้ามีปัจจัยที่จะให้โกรธแรงแล้วขอให้โกรธน้อยลงได้ไหม ก็ไม่ได้ เพราะว่าสิ่งนั้นเกิดแล้ว เป็นแล้วอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นทุกอย่างให้ทราบว่า ไม่มีใครบังคับบัญชาได้เลย ตั้งใจจะไม่โกรธได้ไหม บางท่านฟังเผินอาจจะบอกว่าได้ เพราะว่าเราตั้งใจไว้แล้วว่าเราจะไม่โกรธ ใครมายั่วแหย่ยังไง เราก็จะไม่โกรธ เราก็คิดว่าเราตั้งใจไว้ได้ แต่จริงๆ แล้ว แม้คิดก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย และขณะนั้นยังไม่มีปัจจัยพอจะเกิดโกรธ ไม่ใช่หมายความว่าเพราะเราตั้งใจไว้ เป็นเราที่ตั้งใจแล้ว และก็เป็นอย่างที่เราตั้งใจ แต่เพราะเหตุขณะนั้นยังไม่มีปัจจัยพอที่ความโกรธนั้นจะเกิด เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้ที่มั่นคง เข้าใจตั้งแต่เบื้องต้น ทุกอย่างเกิดตามเหตุตามปัจจัย ก็จะทราบได้เลยว่า ค่อยๆ คลายความเป็นเรา แม้ในขั้นเข้าใจ ก็จะเข้าใจขึ้น ปัญหาต่างๆ ที่คิดว่าความคิดก็เป็นเรา เราคิดไว้ว่าเราจะทำอะไรแล้วก็ทำได้ แต่จริงๆ ขณะที่คิดเกิดแล้วดับ แต่สิ่งใดที่จะเกิดต่อไปก็ตามเหตุตามปัจจัยทั้งนั้น ไม่ใช่หมายความว่าเพราะเราไปวางแผนการแล้วสิ่งนั้นก็เกิดขึ้นตามที่เราคิด เมื่อมีปัจจัยเท่านั้นสิ่งนั้นๆ จึงจะเกิดขึ้นได้ คิดๆ ได้ทุกเรื่อง ใครคิดอยากจะเป็นพระโสดาบัน ก็คิดไป แต่ไม่มีเหตุปัจจัยที่ปัญญาสามารถที่จะบรรลุถึงความเป็นพระโสดาบัน ความเป็นพระโสดาบันก็มีไม่ได้ จริงๆ แล้วให้มีความมั่นคงว่าเป็นธรรมซึ่งเป็นปรมัตถธรรม ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร และก็ทุกอย่างที่จะเกิดเป็นอย่างไร โลภะจะน้อย โทสะจะมาก จะมีความริษยาเกิดขึ้น จะมีความสำคัญตนต่างๆ เกิดขึ้น ในกาลต่างๆ ก็เพราะเหตุว่า มีเหตุปัจจัยที่จะให้สภาพนั้นๆ ปรากฏเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ก็จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้
ผู้ฟัง ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ที่ท่านอาจารย์กล่าวมาทั้งหมด ก็คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นสิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้ตลอดเวลา ใช่ หรือไม่
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ไม่ใช่กล่าวถึงสิ่งที่ไม่มี
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ถามว่า เคยตั้งใจที่จะไม่โกรธไหม เคยตั้งใจไว้บ่อยครั้ง แต่พอพบเหตุการณ์ที่จะทำให้โกรธ ก็โกรธทุกครั้ง ฉะนั้น ธรรมทั้งหลายก็เป็นอนัตตาจริงๆ
ท่านอาจารย์ สภาพธรรมเกิดดับเร็วมาก ให้ทราบว่าในขณะใดที่เรากำลังไม่รู้จริงในลักษณะของสภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใด สภาพธรรมนั้น เกิดแล้วดับแล้ว
อ.ธิดารัตน์ ธรรมที่ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง มีจริงโดยลักษณะ และก็จะต้องเหมือนกันทุกๆ คนเลย ใช่ หรือไม่
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เวลานี้เพียงถามว่า เห็นมีไหม ผู้ที่ศึกษาธรรมเป็นผู้ตรง และจริงใจ ไม่บิดเบือน ถ้าคำถามว่า ขณะนี้มีเห็น หรือไม่ จะตอบว่าอย่างไร
อ.ธีรพันธ์ มีจริง
ท่านอาจารย์ ก็มีจริง เพราะฉะนั้น คำถามของคุณธิดารัตน์ หมายถึงอย่างไร
อ.ธีรพันธ์ หมายถึงว่า ธรรม โดยอรรถว่ามีจริง ก็คือมีจริงต่อทุกๆ คน สนทนากันก็ตรงกัน เพราะความเป็นจริงจะไม่เปลี่ยนแปลง จะเป็นลักษณะที่เหมือนกันทุกๆ คน
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะเมื่อครู่นี้ถามว่าเห็นมีไหม ทุกท่านตอบเหมือนกัน เป็นจริงสำหรับทุกคน และที่คุณสำราญกล่าวถึงเมื่อครู่นี้ สิ่งที่มีจริงเป็นชาติไทย หรือชาติฝรั่ง หรือญี่ปุ่น เช่น "เห็น" ขณะนี้ ชาติอะไร นกเห็นเป็นชาติอะไร เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ไม่ต้องใช้คำเลย สิ่งที่มีจริง ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย และต่อไปก็จะรู้ว่าการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือเป็นหนึ่งไม่เป็นสอง ที่จะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย เช่น “เห็น” เป็นสภาพธรรมที่มีจริง จริงตลอดกาล ในอดีตเห็นไม่เปลี่ยนแปลง “เห็น” ก็คือสามารถที่จะรู้ว่าขณะนี้ สิ่งที่ปรากฏทางตามีลักษณะอย่างนี้ ทางหูไม่ว่าเสียงในอดีตก็ต้องมีใช่ไหม เสียงเมื่อวานก็มี ตอนเกิดมาก็มีเสียงต่างๆ ลักษณะของเสียงที่ปรากฏก็ต่างๆ กันไป แต่เสียงก็เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งซึ่งสามารถรู้ได้ทางหู เหมือนกันหมด นกมีหู มีโสตปสาท หรือไม่ โสตปสาท หมายความถึง สภาพของรูปชนิดหนึ่งซึ่งสามารถกระทบเสียงก็คือธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ต้องเรียกชื่อ ไม่มีเชื้อชาติ แต่ว่าเป็นสิ่งซึ่งมีปัจจัยปรุงแต่งจึงเกิดขึ้น ปรากฏให้รู้ว่ามี
ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นทุกคนในห้องนี้ ก็มีธรรมปรากฏกับตัวอยู่ตลอด
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง อีกคำหนึ่งก็คือ เป็นธรรมทั้งหมด ไม่มีตัวอีกด้วย
ผู้ฟัง แต่สภาพที่มีธรรมที่เกิดกับแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน
ท่านอาจารย์ “ เห็น ” เหมือนกัน หรือไม่
ผู้ฟัง “เห็น“ เหมือนกัน
ท่านอาจารย์ เป็นประเภทหนึ่งของธรรม
ผู้ฟัง แต่ขณะที่เกิดขึ้นของแต่ละคน บางคนอาจจะยังโกรธ หรือโลภ หลง
ท่านอาจารย์ แต่ “ เห็น ” ไม่ใช่โกรธ เพราะฉะนั้นแต่ละอย่างๆ เริ่มละเอียด นี่คือความหมายของคำว่า “อภิธรรม” ธรรมที่ทรงแสดงไว้โดยละเอียดยิ่ง
ผู้ฟัง เป็นเรื่องละเอียดจริงๆ ที่แต่ละคนก็มีธรรมปรากฏของแต่ละคน แล้วก็ไม่รู้กันว่า อะไรคือธรรมที่ปรากฏกับตัวเอง เช่น ขณะนี้คนอื่นอาจจะร้อน นี่คือ อาจเป็นส่วนที่จะต้องรู้ด้วยตัวเอง
ท่านอาจารย์ ถ้าเข้าใจจริงๆ แล้วขณะนั้นเราไม่มี แต่มีลักษณะร้อนที่ปรากฏ กับสภาพที่รู้ร้อน เหมือนกับขณะนี้เราไม่มี แต่มีเสียงปรากฏกับสภาพที่ได้ยินเสียง คนก็ไม่มี แต่มีสภาพที่กำลังปรากฏทางตา กับจิตเห็น หรือว่าสภาพที่สามารถเห็นว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอย่างนี้
อ.ธิดารัตน์ ความยึดถือว่าเป็นตัวเรา ตรงนี้ก็มีจริง
ท่านอาจารย์ แน่นอน เป็นอกุศล ต่อไปจะทราบว่าสิ่งใดที่มี ต้องมีจริงแน่นอน ความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา มีจริง ต้องยอมรับว่ามี แล้วก็เป็นธรรมด้วย แต่ยังไม่รู้ว่าเป็นธรรมประเภทไหน เพราะว่าวันนี้ เราเพียงแต่ว่าให้เข้าใจว่าทุกอย่างที่มีจริงๆ เป็นธรรมซึ่งใครไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงลักษณะได้เลย โดยชื่อใช้คำว่า “ปรมัตถธรรม” และก็จะได้ยินคำว่า “อภิธรรม” ด้วย หมายความถึงเป็นธรรมที่ละเอียดยิ่งที่ทรงแสดงไว้โดยละเอียดโดยประการทั้งปวง ที่จะให้เห็นถึงความจริงของสภาพธรรมนั้นๆ
ผู้ฟัง คำว่า “อภิธรรม” อยู่ในตัวเรา กายที่เป็นรูป ที่เป็นส่วนที่เป็นกาย และใจ ก็คือ อภิธรรม ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีผู้ปฏิเสธคำว่า "อภิธรรม"
ท่านอาจารย์ ถ้าเข้าใจธรรม ผู้นั้นจะปฏิเสธไม่ได้เลย แต่เพราะไม่เข้าใจธรรมจึงปฏิเสธว่าไม่มีอภิธรรม แต่ถ้าเข้าใจธรรมแล้ว ธรรมเป็นอภิธรรม มีความละเอียดมากมายที่ผู้ตรัสรู้ทรงแสดงความละเอียดของสภาพธรรมนั้นๆ ที่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้น แต่ไม่ปรากฏลักษณะที่แท้จริงกับผู้ไม่รู้ จึงกล่าวว่าไม่มีอภิธรรม
ผู้ฟัง ฉะนั้นพื้นฐานที่เราควรจะทราบ ควรจะเป็นอย่างไร
ท่านอาจารย์ ทราบว่า สิ่งที่มี มีจริงๆ จะใช้คำอะไร หรือไม่ใช้คำอะไร สิ่งที่มีจริงก็ปฏิเสธไม่ได้ และสิ่งที่มีนั้น ใครรู้ และใครไม่รู้ ถ้าคนไม่รู้ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำไป ก็มีความทรงจำสืบต่อว่าเป็นเรา ธรรมก็ไม่รู้จักว่าอยู่ที่ไหน แต่ว่าผู้ที่รู้ตามความเป็นจริงก็สามารถประจักษ์แจ้งในความเป็นธรรมแต่ละลักษณะที่มีจริงๆ
ผู้ฟัง ในความรู้สึกของดิฉัน ขณะไหนที่ห่างจากพระธรรม ขณะนั้นก็จะเป็นไปกับรูป เสียง กลิ่น รส เมื่อมีใครพูดอะไร บางทีความมั่นคงของเรายังไม่พอ ก็จะคล้อยตาม เพราะฉะนั้นดิฉันว่า ต้องอาศัยข้อมูลจำนวนมาก ใช่ หรือไม่
ท่านอาจารย์ ขณะนั้นที่เป็นไปกับเรื่องราวต่างๆ เป็นธรรม หรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็นธรรม แต่ขณะนั้นเราหลงลืมสติ
ท่านอาจารย์ ใช่ เพราะฉะนั้น เราจะไม่รู้จักธรรมโดยเพียงชื่อ หรือว่าคิดเรื่องราว แต่ว่าต้องรู้ตัวจริงๆ ของธรรมว่าแม้ขณะที่คิด เป็นไปกับความสนุกสนานเพลิดเพลินก็เป็นธรรม ทรงแสดงไว้โดยละเอียดว่า เป็นธรรมประเภทไหน จนกว่าจะรู้จริงๆ ว่าเป็นธรรม
คุณสำราญก็เห็นความจริง หรือไม่ว่า เวลาที่ได้ยินได้ฟังธรรมก็เกิดความเข้าใจ ความเข้าใจจะเกิดขึ้นมาเองคงไม่ได้ ใช่ไหม ต้องอาศัยการฟัง การพิจารณาไตร่ตรอง และเวลาที่ไปที่อื่น และก็มีเรื่องราวต่างๆ เรื่องนั้นเรื่องนี้ ความเข้าใจเรื่องธรรมก็หายไป ขณะนั้นไม่ได้คิดถึงว่าเป็นธรรมเลย ทั้งๆ ที่ได้ยินได้ฟังว่าเป็นธรรม แต่ตามความเป็นจริงก็เทียบส่วนได้กับการที่ได้ยินธรรมน้อย หรือมากกว่าชีวิตประจำวัน ซึ่งเคยเป็นมาแล้วในสังสารวัฏฏ์
เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า ถึงแม้ว่าจะได้ยินวันหนึ่งๆ บางท่านก็อาจจะได้ยินบ่อยมาก อาจจะตั้งแต่ เวลาเช้า ๐๔.๓๐น. ๐๕.๐๐น หรือ ๐๖.๐๐น.ก็แล้วแต่ ขณะนั้นก็มีความเข้าใจ แต่หลังจากนั้นแล้ว ก็เป็นโอกาส หรือเป็นปัจจัยของสิ่งที่สั่งสมมานานแสนนาน ที่จะต้องเป็นการไม่นึกถึงธรรม เพราะว่ามีเรื่องอื่นที่ปรากฏให้จำ ให้คิด และก็ปรุงแต่งให้เหมือนเคย คือเป็นความไม่รู้ในลักษณะของสิ่งนั้นต่อไป
เพราะฉะนั้น จึงปรากฏว่า แต่ละบุคคลซึ่งจากความเป็นปุถุชน สู่ความเป็นพระอริยบุคคลนั้น ไม่เร็ว แต่เป็นจิรกาลภาวนา หมายความว่าต้องเป็นการอบรมจริงๆ เป็นความตรงต่อธรรม ต้องเป็นสัจจะจริงๆ ว่าเรามีความเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏระดับไหน แค่ไหน ขณะนี้เราไม่ได้เห็นผิดจากการฟัง มีความรู้ความเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นธรรม แค่ฟัง แต่ตัวจริงของธรรมที่กำลังเห็น ไม่ใช่เมื่อฟังอย่างนี้แล้วจะรู้ลักษณะที่เห็น ความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมซึ่งไม่ใช่ตัวตน แต่ยังจะต้องมีการที่รู้ความต่างของความรู้ขั้นฟัง และก็ขั้นคิด กับการที่เริ่มเห็นตัวจริงของธรรม ในขณะที่สภาพธรรมแต่ละอย่างปรากฏให้เห็น ตามความเป็นจริง ซึ่งไม่ใช่ระดับเพียงขั้นที่กำลังฟังเท่านั้น
เพราะฉะนั้น ชีวิตจริงๆ เราก็เริ่มเห็นว่า เราเป็นอย่างไร เทียบส่วนกับผู้ที่ได้ฟังมามาก หรือว่าผู้ที่ได้เป็นพระอริยบุคคลแล้ว แต่ผู้ที่เป็นพระอริยบุคคลมี ไม่ใช่ไม่มี จากกาลครั้งหนึ่งซึ่งท่านก็เป็นปุถุชน ชีวิตของท่านที่เป็นสาวก ก็มีชีวิตที่เป็นไปตามการสะสม บางท่านก็น่าอัศจรรย์ว่า ทำไมชีวิตของท่านช่างแปลกอย่างนั้น เช่น พระเถรีท่านหนึ่งในอดีต ท่านก็มีสามี และไม่เป็นที่รักของสามีเลย ไม่ว่ากี่คน น่าคิดไหมว่า ทำไมชีวิตของแต่ละคนถึงได้แตกต่าง ซึ่งไม่มีใครสามารถจะสร้างจะทำได้ หรือแม้แต่ชีวิตของเราเอง ตั้งแต่เด็กมา เราเคยคิดไหมว่าจะมีวันนี้ ที่มีความสนใจพระธรรม และก็มีการศึกษามีการพยายามที่จะเข้าใจพระธรรม ตอนเป็นเด็กทุกคนสนุกสนานมาก อยู่โรงเรียนมีเพื่อนเล่น เคยคิดไหมว่าจะมีโอกาสได้ฟังสิ่งซึ่งคนเมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปี ได้ฟังจากพระโอษฐ์ และก็เมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีเราอยู่ที่ไหน ไม่ใช่ว่าเราไม่เคยเกิดเลย
การที่จะมีโอกาสได้ฟังพระธรรมเป็นการสะสมของบุญ คือการได้เคยฟังมาแล้วในอดีต จะมาก หรือจะน้อยขึ้นอยู่กับความเข้าใจธรรมที่ได้ยินได้ฟัง แต่อัธยาศัย หรือฉันทะที่ทำให้ฟัง ก็ต่างกับอัธยาศัย หรือฉันทะของคนที่ไม่สนใจที่จะฟังเลย แม้ว่าจะเป็นญาติสนิท มิตรสหาย เพื่อนฝูงซึ่งเป็นที่รักใกล้ชิด ก็บังคับไม่ได้ เพราะจริงๆ แล้วโลกคนละใบ นี่แน่นอนที่สุด เกิดขึ้นคนเดียว มีใครเกิดร่วมด้วยในขณะนั้น หรือไม่ เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็น เห็นคนเดียว หรือเปล่า นี่กล่าวโดยความเข้าใจทั่วๆ ไปซึ่งยังไม่กล่าวถึงธรรมแต่ละชนิด ขณะที่กำลังเห็น มีใครมาร่วมเห็นในขณะที่จิตเห็นนี้กำลังเกิด หรือไม่ หรือขณะที่กำลังคิด มีใครมาร่วมคิดในจิตนั้นที่กำลังคิด หรือไม่ ก็ไม่มีเลย
จะเห็นได้ว่า ยิ่งศึกษายิ่งเห็นว่า ขณะจิตหนึ่งก็คือโลกขณะหนึ่ง ซึ่งแต่ละคนก็เป็นโลกแต่ละใบ เต็มไปด้วยความคิดถึงสิ่งที่กระทบตา จำไว้มากมาย เรื่องราวต่างๆ เสียงกระทบหู จมูกได้กลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายกระทบสิ่งซึ่งสัมผัส ใจคิดนึกปรุงแต่งจากสิ่งที่เห็น ที่ได้ยินทั้งหมด ไม่ลืมเลย จำไว้เป็นอัตตสัญญามากมายกว่าการได้ยินได้ฟังธรรมที่เป็นอนัตตา แล้วจะค่อยๆ ลบความเป็นอัตตสัญญาลงไป จากการที่ได้รู้ลักษณะสภาพธรรมจนกว่าจะหมดสิ้น ไม่เหลือความเป็นเรา หรือความเป็นอัตตา
นี่ก็แสดงให้เห็นว่า การตั้งต้นที่ถูกต้อง รู้ว่าศึกษาอะไร ธรรมคืออะไร ขณะนี้เป็นธรรม จะทำให้เราไม่หลงผิด ถ้ามีความเข้าใจในลักษณะของสภาพธรรม ยิ่งฟังยิ่งเข้าใจในสิ่งที่เราได้ยินวันนี้เพิ่มขึ้น และจะได้ยินวันต่อๆ ไปเพิ่มขึ้นด้วย คือไม่เป็นเรื่องอื่นนอกจากเป็นเรื่องของธรรม เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งซึ่งต้องอดทนมาก ที่จะต้องฟัง และรู้ตามความเป็นจริงว่า เป็นเรื่องขั้นฟัง หรือเป็นเรื่องที่ค่อยๆ เข้าใกล้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ จนกว่าจะประจักษ์แจ้งในลักษณะของสภาพธรรมนั้น
ผู้ฟัง เมื่อสักครู่นี้ เราก็พูดถึงในสิ่งที่มีจริงเป็นธรรม สิ่งที่ไม่มีจริงก็ต้องมี
อ.อรรณพ ที่ท่านอาจารย์เน้นให้เข้าใจถึงสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง เพื่อเป็นพื้นฐานของการที่วันหนึ่งเราจะรู้สิ่งที่มีจริง ซึ่งกำลังปรากฏ และเราก็จะรู้ว่าสิ่งที่เราเคยคิดว่ามีจริงนั้นไม่มีจริง นี่คือประโยชน์ของการมุ่งที่จะเข้าใจในสิ่งที่มีจริง เพราะเมื่อขณะใดเป็นขณะที่เข้าใจในขณะที่เป็นสิ่งที่มีจริง ขณะนั้นเป็นขณะที่ปัญญาเกิด ก็จะรู้ตามความเป็นจริงว่า สิ่งที่เราเคยยึดว่าเป็นสัตว์บุคคล เป็นชื่อ เป็นรูปร่างสัณฐานเหล่านี้ไม่มี แต่จริงๆ แล้วมีเพียงสภาพธรรมที่ปรากฏทีละอย่างเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นประโยชน์ก็คือ ศึกษาถึงสิ่งที่มีจริง แล้วจะเข้าใจตามความเป็นจริงว่าสิ่งที่เราถูกปกคลุมมาตลอด คือชื่อ และก็ความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตนนั้น ไม่มีด้วยความที่ประจักษ์ในความที่สิ่งที่มีจริงกำลังปรากฏ
อ.ธีรพันธ์ สิ่งที่ไม่มีจริงไม่ได้หมายความว่า เราต้องมีความเห็นผิดเสมอไป อย่างเช่นวันอาทิตย์ บางคนอาจมีความเห็นว่าเป็นเพียงบัญญัติเท่านั้นเอง บัญญัติเรื่องราวใ ห้รู้ว่ากำหนดวันนี้เป็นวันที่เรามาฟังพระธรรม ถ้าไม่มีคำว่าวันอาทิตย์ วันจันทร์ ก็คิดว่าคงจะดำเนินชีวิตไปด้วยความไม่สะดวก
ท่านอาจารย์ คุณจำนงหาวันอาทิตย์ ว่าอยู่ที่ไหนได้ไหม
ผู้ฟัง วันอาทิตย์ก็อยู่ที่จิต กำลังมีจริงขณะนี้ จิตที่คิดว่าวันอาทิตย์ จิตนั้นน่ะ มีจริง
ท่านอาจารย์ วันอาทิตย์มีจริง หรือไม่
ผู้ฟัง วันอาทิตย์ไม่มีจริง
ท่านอาจารย์ ตอนนี้จะลำบากไหม ถ้าวันอาทิตย์ไม่มีจริง
ผู้ฟัง มีจิตที่คิด
ท่านอาจารย์ ถ้าจิตไม่คิดคำว่า “วันอาทิตย์” จะมีความเข้าใจในคำนั้นไหมว่า “วันอาทิตย์” เพราะฉะนั้น ถ้าจิตไม่คิดถึงวันอาทิตย์ ไม่คิดถึงวันจันทร์ วันอาทิตย์ และวันจันทร์อยู่ที่ไหน ไม่มีเลย นี่ก็เป็นเรื่องต่อไปที่เราจะได้ทราบว่าทั้งหมดนี้ เราจะแยกออกเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ และเรื่องราวทั้งหมดที่เคยมี และก็คิดว่าจริง อะไรจริง ในขณะนั้น
ผู้ฟัง สิ่งที่มีจริงขณะนั้น คือจิต แต่สตางค์ก็ไม่มีจริง
ท่านอาจารย์ ยอมรับไหมว่า ฟังเรื่องสิ่งที่มีจริง ฟังเรื่องธรรม และตอนนี้กล่าวว่าสตางค์ไม่มีจริง สตางค์ไม่ใช่สิ่งที่มีจริง ยอมรับ หรือไม่ ไม่ยอมรับใช่ หรือไม่ จนกว่าจะยอมรับด้วยการพิจารณาของเรา ว่าอะไรจริง ในขณะที่กำลังคิดว่า “สตางค์” จิตเห็นขณะนี้ มีสิ่งที่กำลังปรากฏ กำลังเห็น คิดได้ หรือไม่ วันนี้ขอให้มีความมั่นใจ เพราะเมื่อครู่นี้ ถามว่าสตางค์มีจริงๆ หรือ ก็กล่าวว่าสตางค์ไม่มี ก็ยังสงสัยอยู่ แสดงว่ามีความเข้าใจในปรมัตถธรรม สามารถที่จะรู้ความต่างในสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะไหน ถ้าจะกล่าวว่าสิ่งที่มีจริงต้องในขณะไหน ขณะเห็น เฉพาะเห็น ชั่วขณะที่เห็น คิดนึกมีจริงๆ หรือ นี่คือแยกละเอียดไปแล้ว ว่าในขณะที่เห็น ไม่ใช่ในขณะที่คิด คิดมีจริงต่อเมื่อขณะนั้นไม่ใช่เห็น แล้วเป็นคิด ขณะนั้นคิดจึงมีจริง นี่เริ่มเป็นปัญญาของเรา ที่จะต้องคิดพิจารณา มีอย่างเดียว หรือว่ามีหลายอย่าง หลากหลาย สิ่งที่ปรากฏจริงๆ ในชีวิตแต่ละขณะ แต่ว่ายังไม่ได้มีความเข้าใจจริงๆ ว่าสิ่งที่ปรากฏคืออะไร จนกว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงแสดงพระธรรม เมื่อนั้น ก็จะมีผู้ที่สามารถเข้าใจ และเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ตามควรแก่การสะสม ผู้ที่ฟังในครั้งโน้นเป็นผู้ที่ได้อบรมเจริญปัญญามามาก เช่น ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ เพียงท่านได้ฟังเมื่อจบเทศนา ท่านก็สามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมที่มีจริงๆ จนกระทั่งเป็นพระอริยบุคคล เป็นสาวกรูปแรก เพราะการที่ท่านได้สะสมความเข้าใจในลักษณะของสภาพธรรมมามาก ที่จะเข้าใจว่า เมื่อตรัสถึงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ท่านก็มีความเห็นถูก ความเข้าใจถูกจนกระทั่งประจักษ์ความจริงเป็นอริยสัจจธรรม สามารถรู้ความจริงของสภาพธรรมได้
เพราะฉะนั้น ถ้าเปรียบเทียบเรากับบุคคลในครั้งโน้น ขณะนี้ก็ได้ยินได้ฟังเรื่องธรรม เพราะฉะนั้นก็เป็นเครื่องวัดด้วยปัญญาความเข้าใจของเราเอง ไม่ต้องอาศัยคนอื่นบอกเลยว่า ขณะนี้เรามีความรู้มาก หรือน้อย หรือว่ายังไม่รู้ หรือเพิ่งเริ่มที่จะสนใจ ที่จะรู้ว่าสัจจธรรมความจริงแท้ที่สุด ก็คือลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้เอง และก็ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็จะต้องมีลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งวันนี้เริ่มจะได้ทราบว่าทุกอย่างเป็นธรรม แต่ก็เป็นเรื่องที่เราจะต้องคิดด้วยความเข้าใจของเราเองว่า ธรรมที่ปรากฏมีเพียงลักษณะเดียวอย่างเดียว หรือว่ามีความหลากหลายมากมายหลายอย่างตามความเป็นจริง
ผู้ฟัง ก็มีลักษณะแต่ละอย่าง แต่ธรรมนั้นมากมาย หลายอย่าง หลากหลาย
ท่านอาจารย์ สิ่งที่มี ที่ปรากฏจริงๆ ลักษณะต่างกัน เช่น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้ เป็นสภาพธรรมที่มีจริงอย่างหนึ่ง เริ่มรู้แล้วว่า เราเข้าใจสิ่งนี้แค่ไหน หรือว่ายังไม่ได้เข้าใจเลย ทั้งๆ ที่ก็มองเห็นอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นให้ทราบว่าขณะนี้สิ่งที่กำลังปรากฏทางตามีจริงๆ เป็นลักษณะของสภาพธรรมหนึ่งลักษณะ ได้ยินเสียง เสียงก็มีจริงๆ ในขณะนี้เองที่กำลังได้ยินเสียง เสียงก็เป็นธรรมอีกอย่างหนึ่ง ลักษณะของเสียงต้องต่างกับสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ไม่มีอะไรพ้นจากธรรมเลย ไม่ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นธรรม เสียงก็เป็นธรรม ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม คิดมีจริง หรือไม่
ผู้ฟัง คิด มีจริง
ท่านอาจารย์ คิดมีจริง เป็นธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งต่างจากสิ่งที่ปรากฏทางตา และต่างกับเสียงที่ปรากฏทางหู เพราะฉะนั้นความรู้สึกโกรธมีจริง เป็นธรรม เพราะฉะนั้น ธรรมมีหลากหลายมากมาย แต่ประมวลลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ก็จะต่างกันเป็น ๒ อย่างใหญ่ๆ แต่ว่าถ้าต่างกันโดยละเอียดก็มากมายกว่านั้น นี่ก็เป็นสิ่งที่เราฟังไป คิดไป และเข้าใจไป เพราะถ้าเราจะใช้คำว่าสิ่งนี้เป็นนาม สิ่งนั้นเป็นรูป เรารับฟังได้ แต่ว่าเราพิจารณาในความเป็นจริงของสิ่งนั้นด้วยความเข้าใจของเรามากน้อยแค่ไหน เช่น ถ้ากล่าวถึงสภาพธรรมที่มีจริงๆ ขณะนี้ และก็มีลักษณะหลากหลายต่างกัน แต่ประมวลโดยประเภทใหญ่ๆ ก็จะรู้ได้ว่า มีธรรมที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น เช่น เสียง ปรากฏ ลักษณะของเสียงเป็นลักษณะที่ดัง จะมากจะน้อยก็ตามแต่ แต่ที่เราใช้คำว่า"เสียง" บ่งถึง ลักษณะของสภาวธรรมที่มีจริงอย่างหนึ่ง ซึ่งสามารถปรากฏทางหูได้ ขณะนั้นก็เป็นลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่รู้ คือ เสียง ไม่หิว ไม่จำ ไม่โกรธ ขอถามว่า เสียงหิว เสียงโกรธ เป็นไปได้ไหม ก็ไม่ได้
เพราะฉะนั้น เสียงก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ประเภทหนึ่ง คือประเภทของธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งมีจริง คำว่า "ธาตุ" กับคำว่า"ธรรม" ความหมายเหมือนกัน หมายความถึงสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น เมื่อเป็น"ธรรม"เป็น"ธาตุ" แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ภาษาบาลีใช้คำว่า “รูป” หรือว่า “รูปธาตุ” หรือ“รูปธรรม” คือธรรมที่ไม่สามารถที่จะรู้อะไรได้เลย ถ้าเป็นอย่างนี้ วันนี้เราตอบได้ว่า รูปธรรม หรือรูปธาตุที่มีจริงๆ ที่เรารู้เดี๋ยวนี้ ยังไม่ต้องไปตามตำราว่ามีจำนวนเท่าไหร่ แต่ที่มีจริงๆ ที่ปรากฏให้รู้ ในวันหนึ่งๆ ลองคิดว่ามีอะไรบ้าง ที่เป็นรูปธรรม หรือ รูปธาตุ สิ่งที่ไม่สามารถจะรู้อะไร แต่มีลักษณะที่ปรากฏให้รู้ได้ทุกวันๆ มีอะไรบ้าง
ผู้ฟัง มีรูปที่เกิดทางตา เสียงทางหู กลิ่นทางจมูก รสทางลิ้น แล้วก็โผฏฐัพพะทางกาย
ท่านอาจารย์ พิสูจน์ได้ใช่ไหมที่คุณปรเมศว์กล่าวว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็น ๑ รูป คนที่ไม่เห็น คือคนที่ตาบอด แต่คนตาไม่บอดต้องมีสิ่งที่ปรากฏทางตาให้เห็น เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏทางตามีจริงเป็นรูปๆ หนึ่ง คนที่หูไม่หนวกก็มีเสียงปรากฏให้รู้ได้ เป็นรูปที่ ๒ คนที่กำลังได้กลิ่นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ขณะนั้นกลิ่นมีจริงๆ ปรากฏ เป็นรูปที่๓ ขณะที่กำลังรับประทานอาหารก็มีการลิ้มรสต่างๆ รสหวานจะกระทบกับตัวไม่มีทางจะรู้ได้เลย แต่ต้องถึงลิ้นจึงสามารถที่จะมีการรู้รส ว่ารสนั้นหวาน รสนั้นเค็ม รสนั้นเปรี้ยว เพราะฉะนั้น รส ก็เป็นอีกรูปหนึ่งที่รู้ได้ทางลิ้น ส่วนทางกายก็มี เย็น หรือ ร้อน ขณะนั้นก็เป็นรูป อ่อน หรือ แข็ง ขณะนั้นก็เป็นรูป ตึง หรือไหว ขณะนั้นก็เป็นรูปที่สามารถจะรู้ได้ในขณะที่กระทบสัมผัสกาย
เพราะฉะนั้น ตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย รูปจริงๆ ที่ปรากฏไม่ขาดเลย ก็มีเพียง ๗ รูป ทางตา ๑ รูป ทางหู ๑ รูป ทางจมูก ๑ รูป ทางลิ้น ๑ รูป ทางกาย ๓ รูป คือ เย็น หรือ ร้อน ๑ อ่อน หรือ แข็ง ๑ ตึง หรือ ไหว ๑ เป็นรูป นอกจากนั้นเป็นสภาพธรรมอื่นทั้งหมดซึ่งไม่ใช่ ๗ รูปนี้ เพราะฉะนั้น การที่จะมีรูปหนึ่งรูปใดปรากฏจะต้องปรากฏกับสิ่งที่มีจริงอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเราไม่เคยคิดเลย เพราะว่าเป็นเราหมด ที่เห็น เราเห็น เราได้ยิน เราคิดนึก เราได้กลิ่น เราโกรธ เราขยัน เราทุกอย่างหมด แต่ว่าความจริงสิ่งต่างๆ เหล่านั้นไม่ใช่ว่าไม่มี เป็นสิ่งที่มีแต่ว่าเป็น “นามธรรม” ไม่มีรูปร่าง ไม่มีหน้าตา ไม่อ่อน ไม่แข็ง ไม่หวาน ไม่เค็ม แต่ว่าธาตุชนิดนี้เป็นธาตุซึ่งเป็นสภาพที่สามารถจะรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏให้รู้ ซึ่งเคยเป็นเรา แต่จริงๆ แล้วก็เป็นธาตุแต่ละอย่าง ซึ่งถ้าเป็นนามธาตุ ก็คือเป็นธาตุที่ต่างจากรูปธาตุโดยสิ้นเชิง
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นในโลกนี้ หรือในโลกไหน บนสวรรค์ หรือที่ในนรก ในน้ำ บนบก ก็จะมีธรรมที่ต่างกันเป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือนามธรรมกับรูปธรรม แล้วอะไรที่ทำความเดือดร้อนให้เรา นามธรรม หรือรูปธรรม
ผู้ฟัง เป็นนามธรรม เป็นกิเลสที่เราได้สะสมมา
ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่านามธรรม เป็นสภาพรู้ หรือธาตุรู้ ถ้ามีแต่รูปธรรมเท่านั้น ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีการเดือดร้อนใดๆ เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น เพราะเหตุว่านามธรรมเป็นธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งมีปัจจัยก็เกิดขึ้น เช่นเดียวกับรูปธรรมก็ต้องมีเหตุปัจจัยปรุงแต่งจึงเกิดขึ้น แต่ว่าลักษณะของสภาพธรรม ๒ อย่างที่เกิดขึ้นนี้ต่างกัน คือลักษณะของรูปธรรมนั้นไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ส่วนนามธรรมก็เป็นสภาพรู้ นี่คือการทรงแสดงธรรมทั้งหมด ก็เพื่อให้สามารถประจักษ์ความจริงของธรรม ๒ อย่างนี้ ถ้าประจักษ์ความจริงว่าเป็นเพียงธาตุ หรือว่าเป็นแต่เพียงธรรม ก็ไม่มีการที่จะเป็นทุกข์อีกต่อไป เพราะเหตุว่า ใครจะไปยับยั้งการเกิดขึ้นของธาตุแต่ละอย่างได้ เมื่อมีเหตุปัจจัยนามธาตุ นามธาตุก็เกิด เมื่อมีเหตุปัจจัยของรูปธาตุ รูปธาตุก็เกิด
เพราะฉะนั้น เราก็จะเข้าถึงความหมายของคำว่า “อนัตตา” หมายความว่าสภาพธรรมมีจริง แต่ว่าสภาพธรรมนั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของใครเลย บังคับบัญชาไม่ได้ แต่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยทั้งสิ้น นี่คือความหมายของ “อนัตตา” ซึ่งอนัตตาสำหรับธรรมทุกอย่าง สัพเพ ธัมมา อนัตตา เคยเป็นตัวเราทั้งหมดแต่ว่าเมื่อศึกษาธรรมแล้วก็จะรู้ว่า เป็นธรรมแต่ละอย่างซึ่งเป็นอนัตตา คงไม่มีใครอยากมีจิตใจที่ไม่ดี ริษยา มานะ ต่างๆ แต่ธาตุชนิดนี้มี เพราะฉะนั้น การสั่งสมของธาตุแต่ละอย่าง ก็ปรากฏเป็นอาการของบุคคลซึ่งมีอุปนิสัยต่างๆ กัน แต่เราเรียกชื่อ ทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ชอบชื่อนั้น เพราะเป็นคนนั้น แต่ความจริงอกุศลธรรมต่างหากที่ไม่มีใครชอบเลย
เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ก็รู้จักสิ่งที่มีจริงๆ เอาชื่อออกก็เหลือแต่ธรรมทั้งหมด เมื่ออกุศลธรรมประเภทไหนเกิดขึ้น เราก็สามารถที่จะรู้ได้ว่า จริงๆ แล้วไม่มีคนนั้น แต่มีธรรมซึ่งกำลังปรากฏ โดยการที่เราใช้ชื่อ นี่คือการที่เราจะค่อยๆ เข้าใจว่า จริงๆ แล้ว โลกนี้ไม่ใช่คน สัตว์ใดๆ ที่เราเคยยึดถือว่า เป็นสิ่งที่มีจริงแล้วก็เที่ยง แล้วก็ไม่แตกดับเลย แต่ก็เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป พอจะคล้อยตามได้ หรือยัง ต้องฟังอีกนานไหมกว่าจะรู้จริงๆ ว่า ที่เราฟังมาแล้วเราเข้าใจถึงตรงนี้จริงๆ หรือใม่ หรือว่าเพียงแต่ว่าได้ยินได้ฟัง แล้วก็ค่อยๆ เริ่มที่จะเข้าใจว่า สิ่งที่ปิดบังเรา ก็คือสิ่งที่ปรากฏ แต่ไม่รู้ความจริง รู้ความจริงเมื่อไหร่ ก็เริ่มที่จะเห็นตามความเป็นจริง ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดง ขอถามว่า ขณะนี้ เห็นอะไร
อ.วิชัย เห็นสิ่งที่ปรากฏได้ทางตา
ท่านอาจารย์ ขอถามผู้ฟังท่านอื่นว่า เหตุใดจึงทราบว่าเป็นคุณวิชัย
ผู้ฟัง เพราะคิด
ท่านอาจารย์ เห็นคุณวิชัย เห็นคุณวีณา เห็นคุณแก้วตา เห็นคุณไพน่า เพราะอะไรจึงเห็นอย่างนั้น นี้คือสิ่งที่น่าสนใจมาก เพราะว่าพอลืมตาขึ้นมา เราเห็น แล้วก็ส่วนใหญ่ทีเดียว เราก็จะมีการรู้ว่าสิ่งที่เห็นเป็นอะไร เพราะฉะนั้นน่าใคร่ครวญ น่าคิดว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาตามที่ได้ยินได้ฟัง เป็นความจริงที่ถูกต้อง ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ เป็นรูปชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถจะกระทบกับจักขุปสาท ซึ่งอยู่ตรงกลางตา สิ่งใดก็ตามที่มีหมายความว่าสิ่งนั้นเกิด ต้องเกิดแน่นอนจึงมีในขณะนั้น เพราะฉะนั้นเมื่อจักขุปสาทมี จึงสามารถกระทบกับสิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะนี้ แล้วจึงเห็น นี่เราจะไม่ใช้คำธรรมอะไรเลย กล่าวธรรมดาๆ ให้เข้าใจว่า ขณะนี้เป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้น ให้ทราบความจริงว่า สิ่งที่ปรากฏทางตากระทบกับจักขุปสาท คือสิ่งที่อยู่ตรงกลางตา สำหรับคนที่ตาไม่บอด จึงสามารถมีธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นนามธรรม เป็นธาตุรู้ที่กำลังเห็นในขณะนี้เกิดขึ้น เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ชั่วหนึ่งขณะที่มีการเห็นเกิดขึ้น แต่ชีวิตประจำวันจริงๆ ของเรา เราไม่ได้รู้ เราไม่ได้เข้าใจอย่างนี้ เพราะฉะนั้น เราก็จะต้องตั้งต้นจากความที่เราไม่เคยรู้อย่างนี้มาเลย แล้วก็ได้ยินได้ฟัง แล้วก็พิจารณาต่อไป ให้เข้าใจได้ว่าทำไมเห็น และมีสิ่งที่ปรากฏเท่านั้นจริงๆ แต่ทำไมความรู้สึกของเราซึ่งไม่เคยหมดไป เห็นคน แล้วก็รู้จักชื่อด้วย เมื่อกี้ก็กล่าวหลายชื่อ เพราะว่าถ้าจะกล่าวชื่อของท่านผู้ฟังทั้งหมดในที่นี้ ก็กล่าวได้ อะไรเป็นเหตุให้เห็นอย่างนั้น ต้องมีเหตุใช่ไหม
อ.วิชัย ถ้าเป็นคนที่เคยรู้จัก ก็พอที่จะนึกถึงชื่อ หรือ รูปร่างหน้าตาได้ แต่ถ้าเป็นบุคคลใหม่ซึ่งไม่เคยรู้จักเลย ก็เป็นเพียงเห็น แต่ว่าไม่รู้จักชื่อ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น หากกล่าวตั้งแต่แรกเกิด เมื่อคลอดออกมาแล้วเราไม่รู้อะไรเลย แต่ขณะนั้น ต้องมีสิ่งที่ปรากฏทางตาแน่นอน สัจจธรรมต้องเป็นสัจจธรรม จะเป็นอื่นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น ขณะที่เห็น ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏกับจิตที่เห็น ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีสิ่งของ ไม่มีอะไรๆ ในนั้นเลย ขอให้พิจารณาไตร่ตรอง ว่าลักษณะที่แท้จริงของสิ่งที่ปรากฏ หามีคน สัตว์ สิ่งหนึ่งสิ่งใดในวัตถุนั้นๆ ไม่ แต่ทำไมปรากฏเป็นคน เป็นห้องประชุม เป็นอะไรมากมาย เพราะฉะนั้น ก็ต้องทราบว่า ที่เรารู้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่น ในขณะนี้ คุณวีณารู้สึกจะสนใจมาก กำลังฟังว่าเพราะอะไร ถ้าไม่จำว่านี่คือคุณวิชัย ถ้าไม่จำว่ารูปร่างอย่างนี้ สันฐานอย่างนี้ การคิดถึงสิ่งนั้นในการที่ทรงจำเป็นเรื่องเป็นราวจะไม่มี จะมีแต่เพียงสภาพเห็น แล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น
เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะศึกษาธรรม คือศึกษาตรง และจริงในลักษณะของสภาพธรรม เช่น รูปธรรมไม่ใช่สภาพรู้ แต่ขณะที่รูปธรรมปรากฏ ต้องปรากฏกับนามธรรม หรือ กับสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งเมื่อเกิดแล้วต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด ขณะที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ แล้วจะบอกว่าไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็นสิ่งนั้น สิ่งนั้นปรากฏไม่ได้ แต่เสียงปรากฏต้องมีผู้ที่กำลังได้ยินเสียง หรือมีขณะที่ได้ยินเสียง สิ่งต่างๆ กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้ ก็ต้องหมายความว่า มีสภาพธรรมที่เห็นสิ่งนั้น มิฉะนั้นสิ่งนั้นก็ปรากฏไม่ได้ เช่น รสหวาน ถ้าบอกว่าหวาน ก็ต้องมีสภาพธรรมที่กำลังรู้รสหวาน รสหวานขณะนั้นจึงจะปรากฏได้ เพราะฉะนั้น การที่เราได้ยินคำหนึ่งคำใด ไม่ต้องรีบร้อนไปไหนเลย มีสิ่งที่ปรากฏให้ศึกษา ให้พิจารณา ให้ไตร่ตรอง จนกว่าจะเป็นความรู้ของเราเพิ่มขึ้นจริงๆ
