อเหตุกวิบากจิต ๑๕ ดวง กิริยาจิต ๓ ดวง
อเหตุกจิตมี ๑๘ ดวง เป็นอเหตุกวิบากจิต ๑๕ ดวง เป็นชีวิตประจำวัน ตั้งแต่เกิดจนตายไม่มีใครไม่มีอเหตุกวิบากจิต ๑๕ ดวงนี้ เมื่อเกิดมาแล้วต้องมีผลของกรรมที่เป็นกุศลวิบากบ้าง อกุศลวิบากบ้าง สำหรับอเหตุกจิตอีก ๓ ดวงที่เหลือ เป็นกิริยาจิต
อัฏฐสาลินี จิตตุปปาทกัณฑ์ มีข้อความอธิบายจิตที่เป็นกิริยาว่า
ในพระบาลีนั้น คำว่า เป็นกิริยา คือ เพียงการกระทำ ก็ในบรรดากิริยาจิตทุกดวงทีเดียว กิริยาจิตดวงใดไม่ถึงความเป็นชวนะ กิริยาจิตดวงนั้นย่อมไม่มีผลเหมือนดอกไม้ลม (คือ ดอกไม้ที่ไร้ผล) กิริยาจิตดวงใดถึงความเป็นชวนะ กิริยาจิตดวงนั้นก็ไม่มีผล เหมือนดอกต้นไม้ที่มีรากขาดเสียแล้ว
เพราะฉะนั้น สำหรับพระอรหันต์ ท่านไม่มีกุศลจิต ไม่มีอกุศลจิต มีแต่ วิบากจิต กับกิริยาจิต
วิบากจิตเป็นผลของอดีตกรรมที่ได้กระทำแล้วซึ่งยังให้ผลอยู่ตราบใดที่ยัง ไม่ปรินิพพาน พระอรหันต์มีแต่โสภณจิต คือ จิตที่ดีงาม ซึ่งไม่เป็นเหตุให้เกิดผล จึงเป็นกิริยาจิต และถึงแม้จะถึงความเป็นชวนะก็ไม่เป็นเหตุ คือ ไม่เป็นกุศลหรือ อกุศล เพราะว่า กิริยาจิตดวงใดถึงความเป็นชวนะ กิริยาจิตดวงนั้นก็ไม่มีผล เหมือนดอกต้นไม้ที่มีรากขาดเสียแล้ว
อเหตุกกิริยาจิตมี ๓ ดวง ฉะนั้น ต้องมีจิตอีกประเภทหนึ่งที่เป็นสเหตุกกิริยาจิต คือ ประกอบด้วยโสภณเหตุที่ดี
อเหตุกกิริยาจิต ๓ ดวง ไม่ประกอบด้วยโลภะ โทสะ โมหะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ เพราะถ้าประกอบกับโลภะ โทสะ โมหะ ต้องเป็นอกุศล และถ้าประกอบกับอโลภะ อโทสะ อโมหะ ต้องเป็นโสภณะ ต้องเป็นสภาพที่ดีงาม ซึ่งสำหรับ อเหตุกกิริยา ๓ ดวง ไม่ประกอบด้วยเหตุ ๖ นั้นเลย
สำหรับอเหตุกกิริยาจิต ๓ ดวง ได้แก่
อุเปกขาสหคตัง ปัญจทวาราวัชชนจิตตัง เป็นกิริยาจิตที่รำพึงถึงหรือรู้ว่าอารมณ์กระทบทวารหนึ่งทวารใดใน ๕ ทวาร จึงชื่อว่า ปัญจทวาราวัชชนจิต
อุเปกขาสหคตัง มโนทวาราวัชชนจิตตัง เป็นกิริยาจิตที่รำพึงถึงอารมณ์ที่ กระทบทางใจ ในขณะที่มีการคิดนึกรู้อารมณ์ทางใจวิถีจิตแรกที่เกิดต้องเป็น มโนทวาราวัชชนจิต
โสมนัสสสหคตัง หสิตุปปาทจิตตัง เป็นจิตที่ทำให้เกิดการแย้มหรือการยิ้ม ของพระอรหันต์
เพราะฉะนั้น สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ จะมีกิริยาจิตเพียง ๒ ดวงเท่านั้น คือ ปัญจทวาราวัชชนจิต ๑ ดวง และมโนทวาราวัชชนจิต ๑ ดวง แต่สำหรับ พระอรหันต์มีอเหตุกกิริยาจิตครบทั้ง ๓ ดวง
การที่จะได้รับผลของกรรมแต่ละครั้งหลังจากที่ปฏิสนธิจิตเกิดแล้ว จะเห็นได้ว่า เวลาที่กรรมหนึ่งกรรมใดจะให้ผล ให้เห็นทางตา หรือให้ได้ยินเสียงทางหู ให้ได้กลิ่นทางจมูก ให้ลิ้มรสทางลิ้น ให้รู้โผฏฐัพพะทางกายนั้น วิบากจิตจะเกิดทันทีไม่ได้ เพราะว่ากรรมหนึ่งกรรมเดียวในสังสารวัฏฏ์ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด และดำรงความเป็นบุคคลนั้นโดยจิตเกิดดับสืบต่อเป็นภวังคจิตประเภทเดียวกันตลอดระหว่างที่ยังไม่มีการรับผลของกรรมอื่น หรือยังไม่มีการคิดนึกใดๆ ทางใจ แต่ถ้าจะมีการรับผลของกรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ภวังคจิตที่จะเปลี่ยนสภาพจากภวังค์ และวิบากจิตอื่นจะเกิดขึ้นรับผลของกรรม วิบากจิตนั้นจะเกิดต่อจากภวังคจิตทันทีไม่ได้ ต้องมีกิริยาจิตเกิดก่อน
สำหรับทางปัญจทวาร วิถีจิตแรกเป็นปัญจทวาราวัชชนจิต หลังจากนั้นจึงเป็นวิบากจิต ถ้าเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา จักขุวิญญาณก็เกิดขึ้นเห็น ถ้าผลของกรรม เป็นทางหู โสตวิญญาณก็เกิดขึ้นได้ยินเสียงที่กระทบ ถ้ากรรมให้ผลทางจมูก ฆานวิญญาณก็เกิดขึ้นรู้กลิ่นทางจมูก แต่ก่อนที่จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณจะเกิด ปัญจทวาราวัชชนจิต ซึ่งเป็นอเหตุกกิริยาต้องเกิดก่อน
เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ที่เห็นโดยปริยัติทราบว่า ปัญจทวาราวัชชนจิตเกิดแล้ว จักขุวิญญาณจึงเห็นได้ และที่จะคิดนึกทางใจ แม้ในขณะที่ฝัน ถ้ายังเป็นภวังค์อยู่ ฝันไม่ได้ คิดนึกทางใจไม่ได้
ถ้าจะมีการฝันเกิดขึ้น มโนทวาราวัชชนจิตต้องเกิดก่อน ต่อจากนั้นจึงเป็น กุศลจิตหรืออกุศลจิตที่นึกถึงเรื่องหนึ่งเรื่องใดปรากฏเป็นความฝันขึ้น นี่เป็นการรู้อารมณ์ทางใจ
เพราะฉะนั้น สำหรับวิบากจิตที่จะเกิดทางใจ เฉพาะขณะที่ทำตทาลัมพนกิจเท่านั้น เวลาที่ใครคิดนึก จะดี จะชั่ว ขณะนั้นเป็นกุศลจิตหรืออกุศลจิต ไม่ใช่วิบาก กุศลจิตเป็นเหตุ อกุศลจิตเป็นเหตุ ต้องรู้ว่า วิบากซึ่งเป็นผลของอกุศลมีเท่าไร และวิบากซึ่งเป็นผลของกุศลมีเท่าไรจึงจะไม่ปะปนกัน ไม่อย่างนั้น บางคนอาจบอกว่า คิดอย่างนี้ก็เป็นวิบาก ความจริงคิดไม่ใช่วิบาก คิดต้องเป็นกุศลหรืออกุศล
ถ้าเข้าใจเรื่องของอเหตุกจิตโดยตลอด จะเข้าใจพระอภิธรรมโดยตลอด เพราะว่าเรื่องของอเหตุกจิตเป็นชีวิตประจำวัน และพระอภิธรรมก็คือชีวิตประจำวัน ที่ต่างกันไปโดยละเอียดมากในชีวิตของแต่ละบุคคลในสังสารวัฏฏ์แต่ละภพ แต่ละชาติ
