ขณสูตร
สำหรับในเรื่องของการเจริญสติปัฏฐาน และเรื่องของปัตติทาน พระธรรมวินัยจะเป็นประโยชน์แก่ท่านในการที่จะทำให้ท่านไม่ประมาท และเห็นว่าภพภูมินี้ จุดประสงค์ในชีวิตนั้น ควรจะเป็นการอบรมการเจริญสติ เพื่อจะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง มิฉะนั้นแล้ว ถ้าพลาดจากสุคติภูมิไปสู่อบายภูมิ ก็หมดโอกาสที่จะเจริญปัญญา จนกระทั่งจะให้รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้
สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค ขณสูตร
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เป็นลาภของเธอทั้งหลายแล้ว เธอทั้งหลายได้ดีแล้ว ขณะเพื่อการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ เธอทั้งหลายได้เฉพาะแล้ว
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย นรกชื่อว่า ผัสสายตนิกะ ๖ อันเราเห็นแล้ว ในผัสสายตนิกนรกนั้น สัตว์จะเห็นรูปอะไรๆ ด้วยจักษุ ก็ย่อมเห็นแต่รูปอันไม่น่าปรารถนา ย่อมไม่เห็นรูปอันน่าปรารถนา ย่อมเห็นแต่รูปไม่น่าใคร่ ย่อมไม่เห็นรูปอันน่าใคร่ ย่อมเห็นแต่รูปอันไม่น่าพอใจ ย่อมไม่เห็นรูปอันน่าพอใจ
จะฟังเสียงอะไรๆ ด้วยหู ก็ย่อมได้ฟังเสียงอันไม่น่าปรารถนา ย่อมไม่ฟังเสียงอันน่าปรารถนา ย่อมได้ฟังเสียงอันไม่น่าใคร่ ย่อมไม่ฟังเสียงอันน่าใคร่ ย่อมได้ฟังแต่เสียงอันไม่น่าพอใจ ย่อมไม่ฟังเสียงอันน่าพอใจ
จะดมกลิ่นอะไรๆ ด้วยจมูก ก็ย่อมดมแต่กลิ่นอันไม่น่าปรารถนา ย่อมไม่ดมกลิ่นที่น่าปรารถนา ย่อมดมแต่กลิ่นไม่น่าใคร่ ย่อมไม่ดมกลิ่นอันน่าใคร่ ย่อมดมกลิ่นอันไม่น่าพอใจ ย่อมไม่ดมกลิ่นอันน่าพอใจ
จะลิ้มรสอะไรๆ ด้วยลิ้น ก็ย่อมลิ้มแต่รสอันไม่น่าปรารถนา ย่อมไม่ลิ้มรสอันน่าปรารถนา ย่อมลิ้มแต่รสไม่น่าใคร่ ย่อมไม่ลิ้มรสอันน่าใคร่ ย่อมลิ้มแต่รสอันไม่น่าพอใจ ย่อมไม่ลิ้มรสอันน่าพอใจ
จะถูกต้องโผฏฐัพพะอะไรๆ ด้วยกาย ก็ย่อมถูกต้องโผฏฐัพพะอันไม่น่าปรารถนา ย่อมไม่ถูกต้องโผฏฐัพพะอันน่าปรารถนา ย่อมถูกต้องโผฏฐัพพะแต่สิ่งไม่น่าใคร่ ย่อมไม่ถูกต้องโผฏฐัพพะสิ่งอันน่าใคร่ ย่อมถูกต้องโผฏฐัพพะแต่สิ่งอันไม่น่าพอใจ ย่อมไม่ถูกต้องโผฏฐัพพะสิ่งอันน่าพอใจ
จะรู้แจ้งธัมมารมณ์อะไรๆ ด้วยใจ ก็ย่อมรู้แจ้งแต่ธัมมารมณ์อันไม่น่าปรารถนา ย่อมไม่รู้แจ้งธัมมารมณ์อันน่าปรารถนา ย่อมรู้แจ้งแต่ธัมมารมณ์อันไม่น่าใคร่ ย่อมไม่รู้แจ้งธัมมารมณ์อันน่าใคร่ ย่อมรู้แจ้งแต่ธัมมารมณ์อันไม่น่าพอใจ ย่อมไม่รู้แจ้ง ธัมมารมณ์อันน่าพอใจ
นี่คือในนรกซึ่งชื่อว่า ผัสสายตนิก ๖ คือ ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ กระทบแต่สิ่งที่ไม่น่าพอใจทั้งนั้น ในโลกมนุษย์กระทบบ้างไหมสิ่งที่ไม่น่าพอใจ กระทบจนกระทั่งบางท่านทนไม่ไหว เจริญสติปัฏฐานไม่ได้ บอกว่าวุ่นวายหมด ทุกข์ใหญ่ ทุกข์น้อย ทุกข์เล็ก ทุกข์นานาประการมากมายเหลือเกิน บอกว่าเจริญสติปัฏฐานไม่ได้
แต่ความจริง ภพนี้อารมณ์ที่ไม่น่าใคร่ ไม่น่ายินดี ไม่น่าพอใจ ถ้าจะเปรียบเทียบกับในนรกแล้ว ผิดกันมากทีเดียว สิ่งที่ท่านกล่าวว่าท่านทนไม่ได้ในขณะนี้ ถ้าเปรียบเทียบกับนรกแล้วทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ความทุกข์ทรมานมากกว่านี้มากทีเดียว ท่านที่ศึกษาปรมัตถธรรม ท่านทราบเวทนาที่เกิดกับจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณว่าถ้าเป็นทางตา จักขุวิญญาณที่กำลังเห็นเกิดพร้อมกับอุเบกขาเวทนา ทางหูก็เกิดพร้อมกับอุเบกขาเวทนาในขณะที่กำลังได้ยิน ทางจมูกก็เกิดพร้อมกับอุเบกขาเวทนาในขณะที่กำลังได้กลิ่น ทางลิ้นเกิดก็พร้อมกับอุเบกขาเวทนาในขณะที่กำลังรู้รส
แต่ทำไมในนรกกล่าวว่า ทรมานมากมายเหลือเกิน ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะเหตุว่า สำหรับทางกายได้รับการทรมานมาก จนกระทั่งทางตาที่เห็นไม่ดี ทางหูที่ได้ยินไม่ดี ทางจมูกที่ได้กลิ่นไม่ดี ทางลิ้นที่ได้รสไม่ดี แม้จะเกิดร่วมด้วยกับอุเบกขาเวทนา แต่เพราะความทรมานแสนสาหัสทางกาย ทำให้เวทนาที่เป็นอุเบกขาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้นนั้นไม่ปรากฏ เพราะทางกายได้รับความทรมานด้วยความทุกข์มากกว่าทางอื่น นี่เป็นผลของการที่เกิดในนรก ซึ่งทุกท่านจะเห็นได้ว่า เมื่อได้เกิดในมนุษย์ภูมิซึ่งแคล้วคลาดจากการเกิดในอบายภูมิแล้ว ก็ควรมีจุดประสงค์ที่จะเจริญสติระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม เพราะถ้าไม่รู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระอริยบุคคล ก็ไม่แน่ว่าจะเกิดที่ไหนต่อไป [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 238]
ข้อความต่อไปมีว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เป็นลาภของเธอทั้งหลายแล้ว เธอทั้งหลายได้ดีแล้ว ขณะเพื่อการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ เธอทั้งหลายได้เฉพาะแล้ว
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สวรรค์ชื่อว่า ผัสสายตนิก ๖ ชั้น เราได้เห็นแล้ว ในผัสสายตนิกสวรรค์นั้น บุคคลจะเห็นรูปอะไรๆ ด้วยจักษุ ก็ย่อมเห็นแต่รูปอันน่าปรารถนา ย่อมไม่เห็นรูปอันไม่น่าปรารถนา ย่อมเห็นแต่รูปอันน่าใคร่ ย่อมไม่เห็นรูปอันไม่น่าใคร่ ย่อมเห็นแต่รูปอันน่าพอใจ ย่อมไม่เห็นรูปอันไม่น่าพอใจ ฯลฯ จะรู้แจ้งธัมมารมณ์อะไรๆ ด้วยใจ ก็ย่อมรู้แจ้งแต่ธัมมารมณ์อันน่าปรารถนา ย่อมไม่รู้แจ้งธัมมารมณ์อันไม่น่าปรารถนา ย่อมรู้แจ้งแต่ธัมมารมณ์ที่น่าใคร่ ย่อมไม่รู้แจ้ง ธัมมารมณ์ที่ไม่น่าใคร่ ย่อมรู้แจ้งแต่ธัมมารมณ์อันน่าพอใจ ย่อมไม่รู้แจ้งธัมมารมณ์อันไม่น่าพอใจ
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เป็นลาภของเธอทั้งหลายแล้ว เธอทั้งหลายได้ดีแล้ว ขณะเพื่อการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ เธอทั้งหลายได้เฉพาะแล้ว
นี่เป็นเรื่องของสวรรค์ ซึ่งตรงกันข้ามกับนรกทุกอย่าง ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นอิฎฐารมณ์ เป็นอารมณ์ที่น่าใคร่ น่าพอใจทั้งนั้น ในโลกมนุษย์มีไหม อารมณ์ที่น่าใคร่น่าพอใจ มีมากจนกระทั่งท่านผู้ฟังเจริญสติไม่ได้อีกแล้วใช่ไหม วันนี้มีแต่ความสุข สติเกิดไม่ได้เลย สังเกตได้จากตัวท่านจริงๆ วันไหนเพลิดเพลินไปด้วยความสุข สติเกิดเล็กน้อย หรือบางวันอาจจะไม่เกิดเลย เช่นเดียวกับความทุกข์ เวลามีมากก็เกิดไม่ได้ เวลาสุขมากก็เกิดไม่ได้ แล้วจะทำอย่างไร ถ้าไม่อบรมเจริญสติในโลกมนุษย์ซึ่งมีทั้งสุขและทุกข์ ถ้าท่านไม่อบรมเจริญสติในขณะที่มีทั้งอิฏฐารมณ์ และอนิฏฐารมณ์ปานกลางในโลกมนุษย์ เมื่อไปถึงสวรรค์ที่แสนจะสุข แสนที่จะเพลิดเพลิน สติจะเกิดได้อย่างไร เพียงแต่เป็นอิฏฐารมณ์ในโลกมนุษย์เท่านั้น สีสันวัณณะก็พอสมควร เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะก็พอสมควร ก็ยังหลงไป เพลินไปกับความเป็นตัวตน ถ้าไม่เจริญสติ ไม่อบรมสติที่จะระลึกรู้ลักษณะของนามและรูปในภูมิมนุษย์ ไปถึงสวรรค์ซึ่งเป็นผลของกุศล ท่านก็จะเพลิดเพลินจนกระทั่งเจริญสติปัฏฐานไม่ได้อีกแล้ว เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เป็นลาภของเธอทั้งหลายแล้ว เธอทั้งหลายได้ดีแล้ว ขณะเพื่อการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ เธอทั้งหลายได้เฉพาะแล้ว
พรหมจรรย์ในพระศาสนา หมายความถึง การปฏิบัติ คือ การเจริญมรรคมีองค์ ๘ ด้วย
เพราะฉะนั้น ทุกขณะที่สติระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ชื่อว่าเป็นลาภที่ประเสริฐ เพราะเหตุว่าทำให้สะสมอบรมไปที่จะละอภิชฌาและโทมนัสได้ ไม่ว่าจะอยู่ในที่ใดทั้งสิ้น แต่ถ้าไปปฏิสนธิในนรก หมดโอกาสที่จะเจริญปัญญาที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระอริยบุคคล
