ปริฬาหสูตร
สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ปริฬาหสูตร ข้อ ๑๗๓๑ มีข้อความว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย นรกชื่อว่ามีความเร่าร้อนมากมีอยู่ ในนรกนั้นบุคคลยัง เห็นรูปอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยนัยน์ตาได้ แต่เห็นรูปที่ไม่น่าปรารถนาอย่างเดียว ไม่เห็นรูปที่น่าปรารถนา เห็นรูปที่ไม่น่าใคร่อย่างเดียว ไม่เห็นรูปที่น่าใคร่ เห็นรูปที่ไม่น่าชอบใจอย่างเดียว ไม่เห็นรูปที่น่าชอบใจ ได้ฟังเสียงอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยหูได้ ... ได้สูดกลิ่นอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยจมูกได้… ได้ลิ้มรสอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยลิ้นได้ ... ได้ถูกต้องโผฏฐัพพะอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยกายได้ ... ได้รู้แจ้งธัมมารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งด้วยใจได้ แต่รู้แจ้งรูปที่ไม่น่าปรารถนาอย่างเดียว ไม่รู้แจ้งรูปที่น่าปรารถนา รู้แจ้งรูปที่ไม่น่าใคร่อย่างเดียว ไม่รู้แจ้งรูปที่น่าใคร่ รู้แจ้งรูปที่ไม่น่าพอใจอย่างเดียว ไม่รู้แจ้งรูปที่น่าพอใจ
ในมนุษย์ภูมิเป็นภูมิดี ถึงแม้ว่าจะมีอนิฏฐารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจบ้าง ก็ยังเล็กน้อย ยังมีโอกาสที่จะได้รับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่ดี แต่ถ้าเกิดในนรกซึ่งเป็นภูมิที่เร่าร้อน มีตาเห็นรูปได้ มีหูได้ยินเสียงได้ มีจมูก ลิ้น กายที่รับกระทบกลิ่น รส โผฏฐัพพะได้ แต่ว่าเป็นอารมณ์ที่ไม่น่าใคร่ ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าพอใจทั้งหมด
คิดดูว่าจะเป็นอย่างไรสำหรับในภูมิมนุษย์ เวลาที่ได้รับกลิ่นที่ไม่น่าพอใจนิดหน่อยก็เดือดร้อนมาก แต่ว่าในนรกเต็มไปด้วยความเร่าร้อนที่มีการเห็น มีการได้ยิน มีกลิ่น มีรส มีโผฏฐัพพะที่ไม่น่าปรารถนาทั้งหมด ถ้าท่านประจักษ์ขณิกมรณะของนามธรรมและรูปธรรม เลือกไม่ได้ว่าท่านจะแทงตลอดในสภาพอารมณ์ที่เป็นอิฏฐารมณ์หรืออนิฏฐารมณ์ แต่ท่านสามารถจะรู้ได้ว่า ถ้าเป็นอิฏฐารมณ์ก็อิฏฐารมณ์อย่างนี้แหละ ไม่ว่าจะเป็นภูมิใด ถ้าอนิฏฐารมณ์ ลักษณะของอนิฏฐารมณ์ที่ไม่น่าพอใจก็เป็นอนิฏฐารมณ์ แต่ว่าความเป็นอนิฏฐารมณ์นั้นจะมากกว่านี้ถ้าเป็นในภูมิอื่น ถ้าเป็นมนุษย์ก็เป็นอนิฏฐารมณ์ที่ไม่เหมือนกับในนรก
ข้อความต่อไปมีว่า
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุรูปหนึ่งได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความเร่าร้อนมาก ความเร่าร้อนมากแท้ๆ ความเร่าร้อนอื่นที่มากกว่า และน่ากลัวกว่าความเร่าร้อนนี้มีอยู่หรือ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร ภิกษุ ความเร่าร้อนอื่นที่มากกว่า และน่ากลัวกว่าความเร่าร้อนนี้มีอยู่
พระภิกษุกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ความเร่าร้อนอื่นที่มากกว่าและน่ากลัวกว่าความเร่าร้อนนี้เป็นไฉน
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมยินดีในสังขารทั้งหลาย ซึ่งเป็นไปเพื่อความเกิด ยินดีแล้วย่อมปรุงแต่ง ครั้นปรุงแต่งแล้ว ย่อมเร่าร้อนด้วยความเร่าร้อนเพราะความเกิดบ้าง ความแก่บ้าง ความตายบ้าง ความเศร้าโศก ความร่ำไร ความทุกข์ ความโทมนัส และความคับแค้นใจบ้าง
เรากล่าวว่า สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมไม่พ้นไปจากความเกิด ความแก่ ความตาย ความเศร้าโศก ความร่ำไร ความทุกข์ ความโทมนัสและความคับแค้นใจ ย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ส่วนสมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมไม่ยินดีในสังขารทั้งหลาย ซึ่งเป็นไปเพื่อ ความเกิด ไม่ยินดีแล้ว ย่อมไม่ปรุงแต่ง ครั้นไม่ปรุงแต่งแล้ว ย่อมไม่เร่าร้อนด้วยความเร่าร้อนเพราะความเกิด ความแก่ ความตาย ความเศร้าโศก ความร่ำไร ความทุกข์ ความโทมนัส และความคับแค้นใจ
เรากล่าวว่า สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมพ้นจากความเกิด ความแก่ ความตาย ความเศร้าโศก ความร่ำไร ความทุกข์ ความโทมนัสและความคับแค้นใจ ย่อมพ้นจากความทุกข์
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียร เพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
จบลงด้วยการเจริญสติปัฏฐานทั้งนั้น เพื่อที่จะได้พ้นจากนรก เพื่อจะได้พ้นจากอนิฏฐารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจซึ่งเผ็ดร้อน เร่าร้อน และเป็นทุกข์มากมายกว่าอนิฏฐารมณ์ในมนุษย์เหลือเกิน ใครจะช่วยได้ ถ้าใครจะต้องไป คนอื่นช่วยได้ไหม เห็นๆ กันอยู่อย่างนี้ ไม่ทราบจะไปไหน แต่ถ้าเป็นผู้ที่เจริญสติปัฏฐาน ก็มีโอกาสจะเป็นส่วนน้อยที่จะมาสู่มนุษย์หรือว่าไปสู่เทพยดา และก็มีโอกาสที่จะเจริญความเห็นถูกต่อไปเพื่อจะให้พ้นจากความเห็นผิด
นรกน่ากลัวไหม น่ากลัว แต่ที่น่ากลัวกว่า คือ ความเกิดขึ้นของนามและรูป เป็นธาตุซึ่งมีเพราะอาศัยปัจจัยเกิดขึ้น ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ต้องมีใครสร้าง เพราะฉะนั้น ที่จะไปรู้อดีตชาติว่ามาจากไหนก็รู้ไม่ได้ ที่จะรู้อนาคตว่าไปไหนก็รู้ไม่ได้ แต่รู้อะไรได้ นามและรูปที่กำลังปรากฏรู้ได้ ควรรู้ด้วย ถ้าไม่รู้อันนี้ ก็ไม่มีทางที่จะไปรู้อื่น อดีตก็รู้ไม่ได้เสียแล้ว อนาคตก็ยังไม่มาถึง จะรู้ได้อย่างไร นามธรรมและรูปธรรม ขันธ์ อายตนะ ธาตุใดๆ ที่เป็นอนาคตยังรู้ไม่ได้ เพราะเหตุว่ายังไม่มาถึง แต่ที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เป็นสิ่งที่สามารถจะรู้ได้ และแทงตลอดถึงขนิกมรณะ ซึ่งจะทำให้หมดความสงสัยในนรก ในสวรรค์ ในภพภูมิ เพราะเหตุว่าไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ก็มีนามธรรมและมีรูปธรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
