วาทีสูตร
มีข้อความในพระไตรปิฎกตอนหนึ่ง ซึ่งจะเกื้อกูลให้ท่านผู้ฟังได้ทราบชัดว่า การเจริญสติปัฏฐานนั้นเป็นปกติ และต้องรู้ชัดในสภาพที่เป็นทุกข์เพราะไม่เที่ยง เพราะไม่ใช่ตัวตนของนามและรูปที่ปรากฏ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นเอง
สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค วาทีสูตร มีข้อความว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ถึงแม้สมณะหรือพราหมณ์ผู้มีความต้องการวาทะ ผู้แสวงหาวาทะ พึงมาจากทิศบูรพา ทิศปราจีน ทิศอุดร ทิศทักษิณ ด้วยประสงค์ว่า จักยกวาทะของภิกษุนั้น ภิกษุนั้นจะสะเทือน สะท้าน หรือหวั่นไหวต่อสมณะหรือพราหมณ์นั้น โดยสหธรรม ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ เปรียบเหมือนเสาหิน ๑๖ ศอก เสาหินนั้นมีรากลึกไปข้างล่าง ๘ ศอก ข้างบน ๘ ศอก ถึงแม้ลมฝนอย่างแรงจะพัดมาแต่ทิศบูรพา ทิศปราจีน ทิศอุดร ทิศทักษิณ ก็ไม่สะเทือนสะท้านหวั่นไหว ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะรากลึก เพราะเสาหินเขาฝังไว้ดีแล้ว ฉันใด
ก็ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ถึงแม้ว่าสมณะหรือพราหมณ์ผู้ต้องการวาทะ ผู้แสวงหาวาทะ พึงมาจากทิศบูรพา ทิศปราจีน ทิศอุดร ทิศทักษิณ ด้วยประสงค์ว่า จักยกวาทะของภิกษุนั้น ภิกษุนั้นจะสะเทือน สะท้าน หรือหวั่นไหวต่อสมณะหรือพราหมณ์นั้น โดยสหธรรม ข้อนั้นมิใช่ฐานะที่จะมีได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเห็นอริยสัจ ๔ ดีแล้ว ฉันนั้นเหมือนกัน
อริยสัจ ๔ เป็นไฉน คือ ทุกขอริยสัจ ทุกขสมุทยอริยสัจ ทุกขนิโรธอริยสัจ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียร เพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกขอริยสัจ นี้ทุกขสมุทยอริยสัจ นี้ทุกขนิโรธอริยสัจ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ
เพราะฉะนั้น ถ้ามีใครถามท่านผู้ฟังว่าอะไรเป็นทุกข์ จะตอบว่าอย่างไร กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังได้กลิ่น กำลังรู้รส กำลังคิดนึก กำลังเป็นสุข กำลังเป็นทุกข์ กำลังตื่นเต้นดีใจ กำลังเพลิดเพลินยินดี ทุกอย่างทุกประการนี้เองเป็นทุกข์ ท่านจะไม่หวั่นไหวเลย และถ้าผู้อื่นจะบอกว่า ไม่ใช่ทุกข์ พูดได้ไหม ถ้าผู้อื่นจะบอกว่าไม่ใช่ทุกข์ หรือที่ใครจะบอกว่าขณะนี้เจริญสติปัฏฐานไม่ได้ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่ใช่ทุกข์ นั่นหมายความว่า ผู้นั้นไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง
แต่ผู้ใดที่กล่าวว่า ทุกข์ไม่ใช่อื่นเลย นอกจากที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังได้กลิ่น กำลังรู้รส กำลังรู้โผฏฐัพพะ กำลังคิดนึก กำลังเป็นสุขมาก กำลังเป็นทุกข์มาก กำลังโทมนัสมาก กำลังดีใจมาก เหล่านี้เองเป็นทุกข์ ก็หมายความว่า ผู้นั้นระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงนั่นเอง
