ประสบการณ์อย่างนั้นจะฝังอยู่ในจิตหรือไม่
ถ . เป็นประสบการณ์ประมาณ ๑๐ ปีที่แล้ว จิตเข้าไปลิ้มรสที่เป็นปัจจุบันให้รู้ว่ามีหนึ่งเท่านั้น และเข้าไปพิจารณาเห็นว่า เป็นของไม่เที่ยง เมื่อจิตนั้นเป็นอัตโนมัติดับไปแล้ว จะเกิดเป็นทุกข์ขึ้น เป็นอัตโนมัติ และดับเป็นอนัตตา ละเอียดขึ้นซึ่งจะพูดกันในที่นี้พูดไม่ได้ เป็นเรื่องของภาวะ อยากจะเรียนถามว่า ประสบการณ์อย่างนั้นจะฝังอยู่ในจิตหรือไม่
สุ . ขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ทราบไหมว่า ไม่ใช่ตัวตน
ถ. ภาพที่ประทับอยู่ไม่ใช่ครับ
สุ. มิได้ กำลังเห็นขณะนี้ ธรรมดาปกติอย่างนี้ ทราบไหมว่าไม่ใช่ตัวตน ถ้ายังเป็นตัวตนอยู่ ก็ไม่ต้องสนใจกับอะไรที่เกิดขึ้นและดับไปนั้นเลย เพราะเหตุว่าการรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ยังไม่พอที่จะให้ประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของนามธรรมและรูปธรรม ถ้าขณะนี้ไม่สามารถรู้ได้ว่าไม่ใช่ตัวตน เป็นแต่เพียงนามธรรมหรือรูปธรรม ถ้ายังไม่มีความรู้เบื้องต้นอย่างนี้ ก็ไม่ต้องไปสนใจกับอะไรที่จะเกิดดับเลย
ถ. ปรากฏการณ์ที่เกิดกระทบอย่างนี้ ถ้าเราไม่สนใจจะได้ไหม
สุ . เริ่มเจริญสติปัฏฐานเป็นปกติ กำลังเห็นธรรมดารู้หรือยัง กำลังได้ยินขณะนี้ รู้ลักษณะที่เป็นสภาพรู้ทางหูว่าไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน รู้เสียงที่กำลังปรากฏว่าเป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่ปรากฏชนิดหนึ่ง และก็ทิ้งไป หมดไป ไม่มีเยื่อใยที่จะไปต้องการนามธรรมและรูปธรรมอะไรเลย นั่นจึงจะเป็นการเจริญปัญญาเพื่อรู้ชัดในสภาพที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลของนามธรรมและรูปธรรม จนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์ความเกิดขึ้นและดับไปด้วยความรู้ชัดได้จริงๆ
ถ. แต่ต้องเจริญอีก
สุ . แน่นอนที่สุด เรื่องของการเจริญสติปัฏฐานเป็นเรื่องของการละความที่เคยยึดถือการเห็น การได้ยิน ความสุข ความทุกข์ ความโกรธ ความริษยา ความตระหนี่ อกุศลใดๆ กุศลใดๆ ที่เกิดกับตนเองในวันหนึ่งๆ ที่เคยยึดถือว่าเป็นตัวตน สติจะต้องระลึก และรู้ว่าเป็นแต่เพียงสภาพนามธรรม เป็นแต่เพียงสภาพรูปธรรมแต่ละชนิด และไม่เยื่อใยด้วยความเคยชิน ด้วยความรู้ชัดว่า ไม่ใช่ตัวตน แต่ไม่ใช่เป็นการไปรู้อย่างอื่นมาปิดบัง กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ไม่รู้ไม่ได้
เรื่องของการเจริญสติปัฏฐานเป็นเรื่องละเอียด เป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องการระลึกได้ และเป็นการรู้ตรงลักษณะที่เป็นนามธรรมและเป็นรูปธรรม แม้แต่เพียงชั่วขณะเล็กน้อย เป็นต้นว่า ขณะที่รู้เรื่องและระลึกได้ว่า ขณะนั้นก็เป็นนามธรรมชนิดหนึ่งและก็หมดไป และก็มีนามธรรมอื่นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ถ้าระลึกได้บ่อยๆ เนืองๆ แม้ว่าทีละเล็กทีละน้อย แต่ว่าเป็นสัมมาสติ เป็นสัมมาทิฏฐิ ก็จะทำให้สามารถประจักษ์ในความที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลของนามธรรมและรูปธรรมที่มีลักษณะจริงๆ ปรากฏให้รู้ได้
ข้อสำคัญที่สุด คือ ลักษณะจริงๆ ที่ปรากฏเป็นปกติ
ท่านผู้ฟังท่านหนึ่งกล่าวว่า นามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ก็มีมากมาย ทำไมสติไม่ระลึกรู้ตามปกติ อุตส่าห์ไปขุดค้นอะไรก็ไม่ทราบ จะให้รู้ให้ได้ในลักษณะของสิ่งที่ไม่ได้ปรากฏตามปกติทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นคือพยายามไปหาอย่างอื่นขึ้นมารู้ แทนที่จะระลึกรู้ลักษณะนามธรรมและรูปธรรมที่ปรากฏอยู่ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจในขณะนี้
เพราะฉะนั้น ถ้าท่านเป็นผู้ที่เข้าใจเรื่องของการเจริญสติปัฏฐาน ก็ไม่ไปขุดค้นหานามอื่นรูปอื่น เพราะเหตุว่ามีนามมีรูปที่กำลังปรากฏอยู่แล้วทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
