จิตสั่งอะไรได้หรือไม่


    วันนี้ขอกล่าวถึงเรื่องจิตโดยกิจ ซึ่งท่านผู้ฟังจะได้ทราบว่า จิตสั่งอะไรได้หรือไม่

    จิตทั้งหมดเป็นสภาพรู้ก็จริง แต่เพราะเหตุว่าจิตมีหลายประเภทโดยนัยต่างๆ เช่น โดยชาติ การเกิด จิตเป็นกุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี เป็นวิบากก็มี เป็นกิริยาก็มี

    กุศลจิต ได้แก่ จิตซึ่งประกอบด้วยเหตุที่ดี เมื่อเกิดแล้ว เป็นเหตุแล้ว ย่อมจะทำให้เกิดผลข้างหน้า ธรรมดาจิตดวงหนึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เมื่อเกิดขึ้นเป็นอกุศลจิต จะเปลี่ยนสภาพของจิตดวงนั้นให้เป็นกุศลจิตไม่ได้ จะเปลี่ยนสภาพของจิตดวงนั้นให้เป็นวิบากจิตก็ไม่ได้ เมื่อจิตดวงหนึ่งเกิดมาเป็นอย่างไรก็เป็นลักษณะอย่างนั้น และก็ดับไป เพราะฉะนั้น ถ้าจิตเป็นอกุศล เป็นจิตที่ไม่ดี ประกอบด้วยเหตุที่ไม่ดี ประกอบด้วยอกุศลเจตสิก เวลาที่ดับไปก็สามารถที่จะเป็นปัจจัยให้อกุศลวิบากเกิดขึ้น

    สำหรับกุศลจิต เมื่อดับไปแล้วก็เป็นปัจจัยให้กุศลวิบากเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นอกุศลวิบากจิตไม่ใช่อกุศลจิต และกุศลวิบากไม่ใช่กุศลจิต เพราะเหตุว่าวิบากจิตนั้นเป็นจิตที่เป็นผลของอกุศลกรรมและกุศลกรรม

    โดยชาติหรือการเกิด จิตมี ๔ ประเภท คือ กุศลจิต ๑ อกุศลจิต ๑ วิบากจิต ๑ กิริยาจิต ๑

    สำหรับกิริยาจิตนั้นเป็นจิตที่ไม่ใช่ผลของกรรม และไม่ได้ประกอบด้วยเหตุที่จะให้เกิดผลข้างหน้า เพราะฉะนั้น ควรที่จะทราบว่า ถึงแม้ว่าจิตจะเป็นสภาพธรรมที่รู้อารมณ์ เป็นสภาพรู้ก็จริง แต่มีมากมายหลายประเภท และโดยประเภทใหญ่ก็จำแนกออกได้โดยหลายนัย

    ในภพหนึ่งชาติหนึ่งที่จะเริ่มความเป็นบุคคลนี้ ก็เพราะปฏิสนธิจิตทำกิจเกิดขึ้นเป็นดวงแรกในภพนี้ และถึงแม้ว่าลักษณะของจิตเป็นสภาพที่รู้อารมณ์ แต่จิตที่รู้อารมณ์นี้ก็ทำกิจสืบต่อจากจิตดวงสุดท้ายของชาติก่อนด้วย คือ ทำกิจปฏิสนธิ ซึ่งเป็นกิจหนึ่งใน ๑๔ กิจของจิต

    จิตทั้งหมดไม่ว่าจะในภพไหนภูมิไหนก็ตาม จะมีกิจการงานเพียง ๑๔ กิจเท่านั้น สำหรับจิตดวงแรกในภพนี้ทำกิจปฏิสนธิ คือ เกิดขึ้นสืบต่อจากจุติจิตซึ่งเป็นจิตดวงสุดท้ายของชาติก่อน ชาติก่อนท่านผู้ฟังจะอยู่ที่ไหน จุติจิตในชาติก่อนทำกิจเคลื่อนจากภพนั้นแล้ว ปฏิสนธิจิตซึ่งเป็นจิตดวงแรกในชาตินี้ก็เกิดสืบต่อจากจุติจิตในชาติก่อน

    โดยชาติปฏิสนธิจิตเป็นวิบาก เป็นผลของกรรม ปฏิสนธิจิตจะเป็นกรรม คือ จะเป็นกุศลกรรมและอกุศลกรรมไม่ได้

    ปฏิสนธิจิตที่เป็นผลของกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมที่เป็นกามาวจรจิต กามาวจรภูมิ ก็เป็นไปกับภูมิที่เต็มไปด้วยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ หรือว่าเป็นผลของการเจริญสมถภาวนามีสมาธิที่มั่นคงเป็นฌานจิต และก่อนจะจุติ ถ้าฌานจิตไม่เสื่อม ฌานจิตก็เกิด เมื่อจุติจิตของชาติก่อนดับไปแล้ว ก็ทำให้ปฏิสนธิจิตซึ่งเป็นรูปาวจรวิบากจิตเกิดขึ้นในพรหมโลก

    เพราะฉะนั้น การเกิดทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นภพใดภูมิใดเป็นจิตประเภทวิบาก มี ใครสั่งให้ปฏิสนธิจิตเกิดบ้าง ไม่มี จิตเป็นสภาพรู้ และจิตที่เกิดดวงแรกนั้นจะให้เป็นกุศลก็ไม่ได้ จะให้เป็นอกุศลก็ไม่ได้ จะให้เป็นกิริยาก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่า การที่จิตใดจะทำกิจปฏิสนธิก็แล้วแต่กรรมๆ หนึ่งที่เป็นชนกกรรมกรรมซึ่งมีมากทีเดียว ในชาตินี้ก็ทำกันไว้คนละมากๆ ชาติก่อนก็มาก ชาติก่อนโน้นๆ ก็ทำไว้มาก แต่ว่ากรรมใดที่จะทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น ก็แล้วแต่ว่าจะเป็นผลของกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม

    สำหรับในภูมิมนุษย์ การเกิดเป็นผลของมหากุศล หรือกามาวจรกุศล คือ กุศลที่ยังเนื่องกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเป็นปัจจัย เมื่อเป็นผลของมหากุศลก็ทำให้ปฏิสนธิด้วยมหาวิบากในมนุษย์

    ส่วนการที่แต่ละท่านเกิดมาด้วยมหาวิบาก หรือกามาวจรวิบาก ซึ่งเป็นผลของมหากุศล หรือกามาวจรกุศลนี้ ไม่มีใครทราบว่าเป็นผลของทานกุศล หรือศีลกุศล หรือว่าภาวนากุศล แต่ทราบได้ว่าเมื่อปฏิสนธิในภูมิที่เป็นสุคติภูมิ ในมนุษย์ ก็ต้องเป็นผลของกามาวจรกุศล และปฏิสนธิจิตซึ่งเกิดขึ้นนั้นไม่มีใครสั่ง แม้แต่กรรมก็สั่งไม่ได้ เมื่อได้ทำกรรมลงไปแล้ว ก็แล้วแต่ว่ากรรมนั้นพร้อมด้วยปัจจัยที่จะให้เกิดผลเมื่อไร ชาติไหน

    ฉะนั้นเมื่อปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น ไม่มีจิตใดสั่งให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น กรรมที่ได้กระทำสำเร็จไปแล้ว พร้อมสมบูรณ์ที่จะให้ผลเกิดขึ้นก็ทำให้ผลเกิดขึ้น ถ้าเป็นกรรมที่จะทำให้ปฏิสนธิ กรรมนั้นชื่อว่า ชนกกรรม คือ กรรมที่ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น และในขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิด จะต้องมีเจตสิกซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เกิดกับจิต รู้อารมณ์เดียวกับจิต ดับพร้อมจิต และเกิดที่เดียวกับจิต ซึ่งแล้วแต่ว่าจิตดวงนั้นเกิดที่ไหน เจตสิกที่เกิดร่วมกับจิตนั้นก็ดับพร้อมกัน รู้อารมณ์เดียวกัน แล้วก็เกิดที่เดียวกันด้วย ในขณะนั้นเจตสิกที่เกิดกับจิตไม่ใช่กุศลเจตสิก ไม่ใช่อกุศลเจตสิก แต่เป็นเจตสิกที่เป็นประเภทวิบากเกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย เวลาที่กรรมจะทำให้จิตเกิดขึ้น ไม่ได้ทำให้แต่เฉพาะจิตเท่านั้นที่เกิดขึ้น มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย เป็นวิบากร่วมกัน

    เพราะฉะนั้น ในขณะที่จิตเกิดขึ้นมีเจตสิกมากมายเกิดร่วมด้วย จิตก็ไม่ได้สั่งให้เจตสิกเกิดร่วมด้วย เจตสิกก็ไม่ได้สั่งให้จิตเกิดร่วมด้วย แต่ว่าทั้งจิตและเจตสิกซึ่งเป็นวิบากเป็นผลของกรรมนั้น เกิดเพราะกรรมที่ได้กระทำแล้ว มีปัจจัยที่จะทำให้วิบากจิตและเจตสิกเกิดร่วมกันในขณะนั้น

    สำหรับในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ต้องมีรูปเกิดพร้อมกับปฏิสนธิจิตและเจตสิกด้วย ตั้งแต่อุปาทขณะ ธรรมดาจิตที่เกิดขึ้นจะมีขณะเล็ก ๓ ขณะ เป็นอนุขณะ คือ ขณะแรกที่เกิดเป็นอุปาทขณะ ขณะที่ยังไม่ดับไปเป็นฐีติขณะ และขณะที่ดับเป็นภังคขณะ

    เพราะฉะนั้น จิตดวงหนึ่งมี ๓ ขณะย่อย ในอุปาทขณะของปฏิสนธิจิตและ เจตสิกที่เกิดนั้นมีกัมมชรูปเกิดร่วมด้วย รูปที่เกิดในขณะนั้นไม่ได้เกิดเพราะจิต แต่เพราะกรรมที่ได้กระทำแล้วเป็นปัจจัยให้วิบากจิต เจตสิก และกัมมชรูปเกิดขึ้นในขณะนั้น

    ท่านผู้ฟังจะพิสูจน์ได้โดยขั้นปริยัติว่า ในปฏิสนธิจิตในภูมิที่มีรูป รูปนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะจิตสั่ง จิตไม่ได้สั่งให้รูปเกิดขึ้น เจตสิกไม่ได้สั่งให้รูปเกิดขึ้น เพราะว่ารูปเกิดพร้อมอุปาทขณะของปฏิสนธิจิต ถ้าจิตสั่งได้ ก็จะต้องมีฝ่ายรับคำสั่ง คือ รูป

    รูปรับคำสั่งได้หรือไม่ เพราะอะไร ถ้าจะรับคำสั่งได้หมายความว่า รู้ว่าสั่งว่าอะไร แต่ว่ารูปไม่ใช่สภาพรู้ ไม่ว่ารูปภายนอกหรือรูปภายใน รูปทั้งหมดไม่ใช่สภาพรู้ รูปที่กายทั้งหมดถึงแม้ว่าจะเกิดเพราะกรรม จะเกิดเพราะจิต จะเกิดเพราะอุตุ จะเกิดเพราะอาหารก็ตาม รูปภายในทั้งหมดนี้ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่รู้อะไรเหมือนกับรูปภายนอกซึ่งไม่ใช่สภาพรู้ เมื่อไม่ใช่สภาพรู้แล้ว จะรับคำสั่งอะไรได้ไหม ก็ไม่ได้ ในขณะปฏิสนธิ กรรมที่ทำให้ปฏิสนธิจิตและเจตสิกเกิดขึ้นก็ทำให้รูปเกิดร่วมด้วยในขณะนั้น

    สำหรับกัมมชรูปนั้น ก็เกิดตั้งแต่อุปาทขณะตลอดเรื่อยมาทุกๆ อนุขณะ คือ เกิดในอุปาทขณะ ฐีติขณะ ภังคขณะเรื่อยมา มีรูปเกิดอยู่ตลอดเวลา มีใครสั่งไหมให้รูปนี้เกิด มีกรรมเป็นปัจจัยทำให้มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย เลือกไม่ได้ด้วยว่า จะมีตาอย่างไร มีหูอย่างไร มีจมูกอย่างไร มีลิ้นอย่างไร มีกายอย่างไร เป็นเรื่องของกรรมอื่นๆ อีกซึ่งจะให้ผล ทำให้ตา หู จมูก ลิ้น กายต่างกัน แม้ว่าจะเกิดเป็นมนุษย์เหมือนกันโดยที่ไม่มีใครสั่ง เป็นไปตามเหตุปัจจัย คือ กรรมที่ได้กระทำแล้ว และสำหรับรูปก็มีสมุฏฐานถึง ๔ อย่าง คือ รูปที่มีกรรมเป็นสมุฏฐานก็มี มีจิตเป็นสมุฏฐานก็มี มีอุตุเป็นสมุฏฐานก็มี มีอาหารเป็นสมุฏฐานก็มี

    สำหรับปฏิสนธิจิตขณะแรก คือ อุปาทขณะ ขณะที่ ๒ คือ ฐีติขณะ ขณะที่ ๓ คือ ภังคขณะ มีกัมมชรูปเกิดทั้ง ๓ ขณะ แต่ว่าอุตุชรูป คือ รูปซึ่งเกิดเพราะความเย็น ร้อนก็เกิดในขณะปฏิสนธิจิตด้วย ซึ่งไม่ใช่ในอุปาทขณะ แต่ในฐีติขณะ คือ หลังจากที่อุปาทขณะเกิดขึ้นแล้ว ฐีติขณะที่ตั้งอยู่มีอุตุชรูปเกิดร่วมด้วย สำหรับอาหารชรูปก็เป็นรูปที่เกิดขึ้นเมื่ออาหารแผ่ซ่านซึมซาบไปในร่างกาย ทำให้เกิดอาหารชรูป

    แต่ในเรื่องจิตสั่ง จะขอกล่าวถึงแต่เฉพาะจิตตชรูปเท่านั้น ถ้าจะมีกัมมชรูป ร่วมด้วยก็เพียงเล็กน้อย เพราะท่านผู้ฟังสงสัยว่า จิตจะสั่งรูปได้หรือไม่ ซึ่งในปฏิสนธิขณะ จิตที่ทำหน้าที่ปฏิสนธิกิจดวงแรก ไม่มีจิตตชรูปเกิดร่วมด้วย นี่เป็นความละเอียดของสภาพธรรม ถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงแสดงไว้ จะไม่มีท่านผู้ใดทราบความละเอียดของขณะปฏิสนธิว่า ขณะนั้นมีกัมมชรูปเท่านั้นที่เกิดในขณะอุปาทะ ในขณะฐีติขณะมีกัมมชรูปกับอุตุชรูป แต่ไม่มีจิตตชรูป ไม่มีอาหารชรูป เพราะว่าในขณะนั้นยังไม่มีโอชาที่แผ่ซึมซาบไปทั่วร่างกาย

    เมื่อปฏิสนธิจิตดับลง กรรมไม่ได้ทำเพียงให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นดวงเดียว กรรมยังทำให้จิตเกิดสืบต่อจากปฏิสนธิจิตดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนั้นไว้ ฉะนั้นจิตซึ่งเป็นสภาพที่รู้อารมณ์ขณะที่ ๒ ที่เกิดต่อจากปฏิสนธิจิตทำกิจดำรงภพชาติเรียกว่าภวังคกิจ และเรียกจิตดวงนั้นว่า ภวังคจิต แต่ว่ารู้อารมณ์เดียวกับปฏิสนธิจิต ซึ่งปฏิสนธิจิตก็รู้อารมณ์เดียวกับจิตที่ใกล้จะจุติของชาติก่อน

    เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยทั้งหมด แม้แต่ว่าก่อนจะจุติ ชาติก่อนมีอารมณ์อะไร ดับไปแล้ว ปฏิสนธิจิตก็สืบต่อรับรู้อารมณ์นั้นต่อ ไม่มีผู้ใดไปเปลี่ยนแปลงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยนั้นได้ และเมื่อปฏิสนธิจิตในชาตินี้ดับไปแล้ว ภวังคจิต ซึ่งเป็นวิบากจิต เป็นผลของกรรม เกิดสืบต่อรู้อารมณ์เดียวกับปฏิสนธิจิต ก็เป็นเรื่องของกิจของจิตซึ่งเป็นสภาพที่รู้อารมณ์ แต่ว่าแม้แต่เพียงขณะที่ ๑ กับขณะที่ ๒ กิจก็ต่างกัน

    จิตดวงแรกของภพนี้ทำกิจปฏิสนธิสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน และดับไป เพราะฉะนั้น เวลาที่ปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว วิบากจิตที่เกิดต่อดำรงภพชาติเป็นปฐมภวังค์ เป็นภวังค์ดวงแรก และสำหรับปฐมภวังค์ ในขณะอุปาทขณะมีจิตตชรูปเกิดร่วมด้วย

    สำหรับเรื่องของกัมมชรูปนั้น กัมมชรูปเกิดกับจิตทุกดวงตั้งแต่ปฏิสนธิ ทุกขณะย่อย คือ ทั้งอุปาทขณะ ฐีติขณะ และภังคขณะ และเกิดครั้งสุดท้ายที่อุปาทขณะของจิตดวงที่ ๑๗ ที่นับถอยหลังจากจุติจิตขึ้นไป นี่เป็นข้อปลีกย่อย แต่ให้ทราบว่าในจิตดวงแรกของชาตินี้ คือ ปฏิสนธิจิต ไม่มีจิตตชรูป เมื่อดับไปแล้ว ภวังคจิตดวงแรกคือ ปฐมภวังค์ มีจิตตชรูปเกิดในอุปาทขณะ

    มีจิตใดสั่งไหมในขณะนั้น ที่ต้องเรียนเรื่องนี้ก็เพื่อให้เห็นจิตทุกดวงตั้งแต่เริ่มว่ามีจิตดวงใดบ้างที่จะสั่งรูป หรือว่าไม่มีจิตใดเลยที่สั่งรูปได้ ในปฐมภวังค์มีจิตตชรูปเกิดพร้อมอุปาทขณะ เป็นจิตดวงที่ ๒ เป็นขณะที่ ๒ ไม่ใช่ปฏิสนธิขณะ จึงเป็นปัจจัยให้รูปเกิดได้

    สำหรับปฏิสนธิจิต เป็นจิตที่ไม่มีกำลัง เป็นจิตที่อ่อน ทุรพล ไม่ทำให้เกิดรูป แต่เมื่อปฐมภวังเกิดขึ้นเป็นจิตดวงที่ ๒ ต่อจากปฏิสนธิจิต มีกำลัง จึงเป็นปัจจัยให้รูปเกิดขึ้นเพราะจิตนั้น ซึ่งรูปนั้นได้แก่ อวินิพโภครูป ๘ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม สี กลิ่น รส โอชา เกิดในขณะนั้นพร้อมกับจิตทีเดียว เพราะฉะนั้น จิตไม่ได้สั่งให้รูปนั้นเกิด จิตเป็นสภาพที่รู้อารมณ์เท่านั้น

    นี่เป็นขณะที่ปฏิสนธิและยังไม่จุติ มีภวังคจิตเกิดดำรงภพชาติสืบต่อ แต่ถ้ากรรมให้ผลเพียงทำให้เกิดขึ้น และเป็นภวังค์ไปเรื่อยๆ ก็คงจะไม่เดือดร้อน ไม่ต้องเห็นอะไร ไม่ต้องได้ยินอะไร ไม่ต้องได้กลิ่นอะไร ไม่ต้องรู้รสอะไร ไม่ต้องรู้โผฏฐัพพะใดเลย แต่นั่นไม่ใช่เรื่องของเหตุปัจจัย ถ้าเป็นเรื่องของเหตุปัจจัย คือ กรรมในอดีตมีแล้วไม่ได้ให้ผลเพียงแค่ปฏิสนธิและเป็นภวังค์ ยังทำให้มีการเห็นทางตา การได้ยินทางหู การได้กลิ่นทางจมูก การรู้รสทางลิ้น การรู้โผฏฐัพพะทางกาย เป็นเรื่องการรับผลของกรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ซึ่งทุกท่านก็ปรารถนาที่จะได้ประสบกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่ดี ที่ประณีต ที่น่าพอใจ แต่การที่วันไหนจะได้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่ดี ก็เป็นผลของกุศลกรรม วันไหนขณะใดที่ได้รับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่ไม่ดี ก็เป็นผลของอกุศลกรรม แต่ให้ทราบว่า ขณะที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังได้กลิ่น กำลังรู้รส กำลังรู้โผฏฐัพพะนี้ จะมีจิตเกิดเป็นลำดับ เป็นวิถีจิตกี่ดวง เพราะว่าเราได้ทราบเรื่องของกิจ ๒ กิจ คือ ปฏิสนธิกิจ ๑ ภวังคกิจ ๑

    เพราะเหตุว่าชีวิตไม่ได้มีเพียงปฏิสนธิจิต และภวังคจิตเท่านั้น ยังมีการเห็น มีการได้ยิน ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นต้น เพราะฉะนั้น ท่านผู้ฟังควรที่จะได้ทราบความละเอียดว่า ขณะใดรูปเกิดกับจิตใด ขณะใดรูปไม่เกิดกับจิตใด เวลาที่มีการเห็น หรือการได้ยิน การได้กลิ่น การรู้รส การรู้โผฏฐัพพะครั้งหนึ่งๆ จิตไม่ใช่ภวังค์เสียแล้ว เพราะว่าถ้าเป็นภวังค์จะไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยิน ไม่มีการได้กลิ่น ไม่มีการรู้รส ไม่มีการรู้โผฏฐัพพะ ไม่มีการคิดนึกเลย ภวังคจิตมีอารมณ์เหมือนอย่างปฏิสนธิ ไม่ใช่เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ได้ยินสิ่งที่กำลังปรากฏทางหู หรือว่าคิดนึกเรื่องราวที่กำลังคิดกำลังนึก เพราะฉะนั้น เวลาที่จะมีการเห็น การได้ยินครั้งหนึ่งๆ จิตจะต้องเปลี่ยนสภาพจากภวังคจิตเป็นวิถีจิต เรื่องนี้อาจจะหนักไปสำหรับท่านผู้ฟัง แต่ขอให้ทราบว่าเป็นเรื่องของตัวท่านจริงๆ และท่านก็ควรที่จะได้ทราบความละเอียดพอสมควรด้วยว่าเวลาที่จิตจะเห็น จะได้ยินนั้น วิถีจิตจะต้องเกิดสืบต่อกันเป็นลำดับอย่างไรบ้าง ไม่ใช่เห็นทันที หรือว่าชอบทันที แต่จะต้องมีกระแส หรือวิถีของจิตเกิดดับสืบต่อกันตามลำดับ และความละเอียดนั้นจะช่วยชี้ให้เห็นว่า จิตประเภทใดมีรูปชนิดใดเกิดด้วย เพราะเหตุปัจจัยใด

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 233

    ถ้าอารมณ์เป็นสี จะต้องกระทบกับจักขุปสาท ถ้าผู้ใดไม่มีจักขุปสาทก็ไม่เห็น เพราะฉะนั้น ก่อนที่จิตเห็นจะเกิดขึ้น รูปารมณ์หรือสีก็ต้องกระทบกับจักขุปสาท ซึ่งทำให้จิตที่เป็นภวังค์ไหว เพราะเหตุว่ากำลังจะเปลี่ยนอารมณ์ ซึ่งอารมณ์ของภวังค์นั้นเป็นอารมณ์เดียวกับปฏิสนธิจิต ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ได้รู้รส ไม่คิดนึก ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แต่เวลาที่มีการรู้อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดขึ้น อารมณ์ที่เป็นรูปทางตา เสียงทางหู รสทางลิ้น กลิ่นทางจมูก โผฏฐัพพะทางกาย จะต้องกระทบสัมผัสกับปสาทนั้นๆ ถ้าเป็นทางตา สีจะต้องกระทบกับจักขุปสาท ซึ่งทำให้ภวังค์ไหวเพราะการกระทบนั้น

    ภวังค์ที่ถูกกระทบชื่อว่า อตีตภวังค์

    เวลาที่รูปารมณ์กระทบกับจักขุปสาท ก็กระทบกับอตีตภวังค์ด้วย เมื่ออตีตภวังค์ดับไปเป็นปัจจัยให้ภวังค์ไหวเกิดขึ้นชื่อว่า ภวังคจลนะ

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 233

    เมื่อภวังคจลนะดับไปแล้ว ภวังค์ดวงต่อไปที่เกิดขึ้น คือ ภวังคุปัจเฉทะ เป็นการสิ้นสุดของกระแสภวังค์

    เมื่อภวังคุปัจเฉทะซึ่งเป็นภวังค์ดวงสุดท้ายของกระแสภวังค์ดับไปแล้ว จิตดวงต่อไป คือ อาวัชชนจิต ภาษาบาลีใช้คำว่า อาวัชชนจิต ซึ่งแปลโดยศัพท์ว่า รำพึงถึงอารมณ์ แต่คำว่ารำพึงนี้ไม่ใช่มานั่งคิดถึง ใช้คำว่า รำพึง แต่หมายความว่า รู้อารมณ์ที่กระทบทวาร

    ความรู้มีเท่านั้นเอง ยังไม่เห็น ยังไม่ได้ยิน ยังไม่ได้กลิ่น ยังไม่รู้รส ยังไม่รู้โผฏฐัพพะ เพียงแต่ว่าเมื่อมีอารมณ์กระทบปสาท ภวังคจิตดวงสุดท้ายของกระแสภวังค์ คือ ภวังคุปัจเฉทะดับไปแล้ว เป็นปัจจัยให้จิตดวงต่อไปทำ อาวัชชนกิจ รำพึง คือ รู้ในลักษณะของอารมณ์ที่กระทบทางทวาร จิตดวงนี้สามารถที่จะรู้อารมณ์ที่กระทบทั้งทางตาก็ได้ หูก็ได้ จมูกก็ได้ ลิ้นก็ได้ กายก็ได้ ทั้งอารมณ์ที่ประณีตและอารมณ์ที่ไม่ประณีต

    โดยชาติ การเกิด จิตดวงนี้ไม่ใช่ วิบากจิต เป็นชาติ กิริยา เพราะสามารถที่จะรู้อารมณ์ได้ทั้งที่เป็นอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์ เมื่อทำกิจ อาวัชชนะ คือ รู้อารมณ์ที่กระทบที่ทวารแล้ว จิตดวงนี้ก็ดับไป

    ทุกอุปาทขณะของจิต จะมีจิตตชรูปเกิดร่วมด้วย เว้นจิตเพียง ๑๔ ดวงเท่านั้นที่ไม่มีจิตตชรูปเกิดร่วมด้วย คือ จิตที่เห็น จักขุวิญญาณ ๒ ดวง มีกุศลวิบาก ๑ ดวง อกุศลวิบาก ๑ ดวง กำลังเห็นสิ่งที่ดีๆ เป็นจักขุวิญญาณกุศลวิบาก กำลังเห็นสิ่งที่ไม่ดีก็เป็นจักขุวิญญาณอกุศลวิบาก

    เพราะฉะนั้น จิต ๑๔ ดวงที่เว้น ไม่มีจิตตชรูปเกิดร่วมด้วยนั้น ก็ได้แก่ จักขุวิญญาณ ๒ ดวง โสตวิญญาณ ๒ ดวง ฆานวิญญาณ ๒ ดวง ชิวหาวิญญาณ ๒ ดวง กายวิญญาณ ๒ ดวง รวม ๑๐ ดวง เป็นจิตที่อ่อนมาก ถ้าท่านทราบถึงปัจจัยให้เกิดจิต ๑๐ ดวงนี้ จะเห็นได้ว่า ไม่มีกำลังพอที่จะให้รูปเกิดร่วมด้วย

    แม้ปฏิสนธิจิตก็ไม่มีจิตตชรูปเกิดร่วมด้วย เพราะเป็นจิตที่มีกำลังอ่อน ไม่ใช่เพราะใครสั่ง แต่เพราะเหตุว่าเพิ่งเกิดขึ้นเป็นดวงแรกกำลังยังอ่อน เพราะฉะนั้น ไม่มีกำลังพอที่จะเป็นปัจจัยให้รูปเกิดร่วมด้วย พอถึงจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ คือ จิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตรู้โผฏฐัพพะ ก็เป็นจิตที่อ่อน กำลังน้อยมาก คือ เวลาที่สีกระทบกับจักขุปสาท เป็นปัจจัยให้เกิดจักขุวิญญาณ เกิดที่จักขุปสาทแล้วดับไป กำลังน้อยมาก หรือโสตวิญญาณก็อาศัยเกิดขึ้นเพราะสัททะ คือ เสียง กระทบกับโสตปสาท และก็มีการได้ยิน เป็นธาตุรู้เสียง เกิดขึ้นที่โสตปสาทแล้วก็ดับไป เหมือนกับการขีดไม้ขีดไฟ เวลาที่มีปัจจัยกระทบ ไฟก็เกิดขึ้นนิดเดียวแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น ธาตุ คือ เสียงกระทบกับธาตุคือโสตะ ทำให้เกิดธาตุรู้เสียงที่เกิดขึ้นที่โสตปสาทนิดเดียวเท่านั้นแล้วก็ดับไป ไม่มีกำลังที่จะทำอย่างอื่นเลย เพราะฉะนั้น จิตนี้จึงไม่มีรูปเกิดร่วมด้วย

    เพราะฉะนั้น เหตุผลที่ว่า จิตใดมีรูปเกิดร่วมด้วย และจิตใดไม่มีรูปเกิดร่วมด้วย ก็ได้แสดงไว้โดยสภาพของจิตนั้นๆ แต่ไม่ได้มีพยัญชนะบอกว่า เพราะจิตดวงนั้นไม่สั่งให้รูปเกิดขึ้น หรือว่าที่รูปเกิดเพราะจิตดวงนั้นสั่ง

    สำหรับปัญจทวาราวัชชนจิต มีรูปเกิดร่วมด้วย เพราะเหตุว่าตั้งแต่อุปาทขณะของปฐมภวังค์ และอุปาทขณะของจิตทุกดวง เว้นทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ กับ อรูปาวจรวิบากจิต ๔ เท่านั้นที่ไม่มีจิตตชรูปเกิดร่วมด้วย

    อรูปาวจรวิบากจิต คือ จิตที่ทำกิจปฏิสนธิในอรูปพรหมภูมิ เป็นผลของอรูปฌานกุศล เป็นการเจริญสมาธิเพื่อละรูป เพราะฉะนั้น ผลก็คือ ทำให้เฉพาะนามขันธ์ ๔ เป็นอรูปธรรมเกิดขึ้นในอรูปพรหม ไม่มีรูปสักชนิดเดียวเกิดในอรูปพรหมภูมิ เพราะ ฉะนั้น ก็เว้นจิต ๔ ดวง คือ อรูปาวจรวิบาก ไม่มีรูปเกิดร่วมด้วย และทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ดวง ไม่มีรูปเกิดร่วมด้วยเพราะเป็นจิตที่มีกำลังอ่อน

    เพราะฉะนั้น ปฐมภวังค์มีจิตตชรูปเกิดในอุปาทขณะ ภวังค์ดวงต่อๆ ไปก็มี จิตตชรูปเกิดในอุปาทขณะ ปัญจทวาราวัชชนจิตที่รำพึงหรือรู้อารมณ์ที่กระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็มีจิตตชรูปเกิดในอุปาทขณะ แต่จิตมีกำลังต่างกัน เพราะฉะนั้น การที่จะทำให้รูปเกิดก็ต่างกันด้วย ในขณะที่ปัญจทวาราวัชชนจิตเกิดขึ้น ไม่สามารถที่จะ ให้เกิดอิริยาบถ หรือวิญญัติได้

    วิญญัติ คือ การที่จะให้รู้ความหมายทางกาย ๑ และให้เข้าใจคำพูดด้วย วาจา ๑ นั่นเป็นวิญญัติ

    สำหรับอิริยาบถ ขอให้ท่านผู้ฟังคิดถึงตั้งแต่ปฏิสนธิ ในขณะปฏิสนธิก็มีรูปเกิดร่วมด้วยแล้ว แต่รูปที่เกิดกับปฏิสนธิจิตนั้นเล็กน้อย เพิ่งเกิด เพราะฉะนั้น ปฏิสนธิจิตก็ดี หรือแม้ปฐมภวังค์ และภวังค์ดวงต่อๆ ไปก็ดี ไม่ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวเป็นอิริยาบถใดๆ

    ทุกท่านที่เกิดมามีรูปร่างแล้ว ไม่พ้นไปจากนั่ง หรือนอน หรือยืน หรือเดิน แต่ว่าเวลาที่ปฏิสนธิจิตเกิด มีรูปเกิดด้วย และในปฐมภวังค์ก็มีรูปเกิดสืบต่อเจริญเติบโตมาเรื่อยๆ แต่ปฏิสนธิจิตก็ดี ภวังคจิตก็ดี หรือแม้ปัญจทวาราวัชชนจิตก็ดี ไม่อาจ หรือไม่สามารถที่จะเคลื่อนไหวเป็นอิริยาบถได้ เพราะฉะนั้น จะเกิดมาอยู่อย่างไร เติบโตอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น เหมือนกับเวลานอน นอนหลับสนิทเป็นภวังคจิต รูปทรงอยู่อย่างไรก็อยู่อย่างนั้น เพราะว่าขณะนั้นไม่มีจิตที่จะทำให้เกิดเคลื่อนไหวเป็นอิริยาบถ หรือวิญญัติได้

    เมื่อปัญจทวาราวัชชนจิตดับไปแล้ว ก็เป็นปัจจัยให้ทวิปัญจวิญญาณเกิดขึ้น

    ถ้าอารมณ์กระทบตา เมื่อปัญจทวาราวัชชนจิตดับไปแล้ว จักขุวิญญาณก็เห็น

    ถ้าอารมณ์กระทบหู เมื่อปัญจทวาราวัชชนจิตดับไปแล้ว ก็เป็นปัจจัยให้โสตวิญญาณได้ยินเสียงเกิดขึ้น

    ถ้าอารมณ์นั้นเป็นกลิ่น กระทบจมูก เมื่อปัญจทวาราวัชชนจิตดับไปแล้ว ก็เป็นปัจจัยให้ฆานวิญญาณเกิดขึ้นรู้กลิ่น

    ถ้าเป็นรสที่กระทบลิ้น เมื่อปัญจทวาราวัชชนจิตดับไปแล้ว ก็เป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นรู้รส คือ ชิวหาวิญญาณ

    ถ้าเป็นอารมณ์ที่กระทบกายปสาท เย็น ร้อน อ่อน แข็ง เมื่อปัญจทวาราวัชชนจิตดับไปแล้ว ก็ทำให้กายวิญญาณเกิดขึ้นรู้เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหวที่กระทบกาย

    ทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ดวงเกิดขึ้นเพราะการกระทบกัน และก็ดับไปที่ปสาทรูป นั้นๆ มีกำลังที่อ่อนมาก ไม่สามารถทำให้จิตตชรูปเกิดได้เลย เมื่อทวิปัญจวิญญาณ จะเป็นทางตาเห็น ทางหูได้ยิน ทางจมูกรู้กลิ่น ทางลิ้นลิ้มรส ทางกายรู้โผฏฐัพพะดับไปแล้ว จิตดวงต่อไปเกิดขึ้นรับรู้อารมณ์นั้นต่อก่อนที่จะรู้เรื่องรู้ราว หรือว่าก่อนที่จะเกิดการชอบไม่ชอบในสิ่งที่เห็น วิถีจิตจะต้องเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วสืบต่อทำกิจต่างๆ กัน

    เมื่อทวิปัญจวิญญาณดับไปแล้ว สัมปฏิจฉันนะเป็นจิตที่ทำกิจรับรู้อารมณ์ต่อจากทวิปัญจวิญญาณเกิดขึ้น สัมปฏิจฉันนจิตไม่ใช่ทวิปัญจวิญญาณ เพราะฉะนั้นสัมปฏิจฉันนจิตมีจิตตชรูปเกิดในอุปาทขณะ แต่ว่าจิตตชรูปที่เกิดพร้อมกับ สัมปฏิจฉันนจิตนั้นไม่ทำให้เกิดเคลื่อนไหวเป็นอิริยาบถ เมื่อสัมปฏิจฉันนจิตดับไปแล้ว จิตขณะต่อไปพิจารณาอารมณ์นั้นต่อจากสัมปฏิจฉันนะ

    จิตที่ทำกิจพิจารณาอารมณ์นั้นต่อชื่อว่า สันตีรณจิต จิตดวงนี้มีจิตตชรูปเกิดในอุปาทขณะ แต่ว่าโดยนัยเดียวกัน คือ ไม่ทำให้เกิดอิริยาบถ หรือวิญญัติรูปเลย

    นี่เป็นวิถีของจิตที่เกิดสืบต่อกัน เมื่อเป็นจิตประเภทวิบาก เช่น ทวิปัญจวิญญาณ สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ หรือแม้ภวังคจิต ปฏิสนธิจิต ก็ไม่เป็นปัจจัยที่จะให้เคลื่อนไหวอิริยาบถ หรือวิญญัติได้

    เมื่อสันตีรณจิตดับไปแล้ว จิตดวงต่อไป คือ โวฏฐัพพนจิต หรือมโนทวาราวัชชนจิต ทำกิจมนสิการ แล้วแต่การสะสมของจิต ถ้าเป็นคนที่สะสมทางฝ่ายกุศลมากเวลาเห็น เวลาได้ยิน เวลาได้กลิ่น เวลาลิ้มรส เวลารู้โผฏฐัพพะ ถึงแม้ว่าอารมณ์นั้นจะไม่ใช่อารมณ์ที่ประณีต แต่กุศลจิตก็เกิดได้

    สำหรับมโนทวาราวัชชนจิต สามารถเป็นปัจจัยให้เกิดอิริยาบถและวิญญัติรูปได้ ซึ่งเริ่มตรงนี้ที่ว่าจะเป็นปัจจัยให้เกิดอิริยาบถหรือวิญญัติรูป แต่ที่อิริยาบถจะเคลื่อนไหวเกิดขึ้นได้จริง หรือวิญญัติรูปจะเกิดขึ้นได้จริงนั้น ต้องถึงชวนจิต คือ จิตที่เกิดต่อจาก มโนทวาราวัชชนจิต ซึ่งเป็นอกุศลจิต ๑๒ ดวง หรือมหากุศลจิต ๘ ดวง สำหรับคนธรรมดาที่ไม่ใช่พระอรหันต์ เวลาที่มีการเห็น มีการได้ยินแล้ว ย่อมจะเป็นกุศลจิตบ้าง อกุศลจิตบ้าง

    ขณะที่จิตเป็นกุศล ไม่ได้เกิดขึ้นขณะเดียวเหมือนอย่างจักขุวิญญาณ หรือ สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ โวฏฐัพพนะ จิตที่เป็นกุศลจะทำชวนกิจ แล่นไปในอารมณ์นั้นถึง ๗ ขณะ ด้วยกุศลจิตบ้าง อกุศลจิตบ้าง ทำให้เกิดอิริยาบถและวิญญัติได้ เป็นจิตตชรูป การที่ท่านผู้หนึ่งผู้ใดเกิดความชอบใจขึ้น และมีกำลังเพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยให้รูปที่เกิดจากจิตสามารถไหวไป เปลี่ยนไปเป็นอิริยาบถหรือวิญญัติรูปได้ ไม่ใช่มีใครสั่ง แต่ว่าเป็นด้วยกำลังความปรารถนาซึ่งเป็นกุศลจิตหรือเป็นอกุศลจิต

    ถ้าปรารถนาจะทำบุญ ทำกุศล มหากุศลจิตเกิดแล้ว ย่อมเป็นปัจจัยให้จิตตชรูป จิตตชวาโยธาตุทำให้กายเคลื่อนไปไหวไปเป็นอิริยาบถต่างๆ หรือว่าเป็นวิญญัติรูปได้ แต่แม้กระนั้นชวนจิตซึ่งเป็นโลภมูลจิต ๗ ขณะ โทสมูลจิต ๗ ขณะ โมหมูลจิต ๗ ขณะ หรือว่าเป็นมหากุศล ๗ ขณะนี้ ก็ยังได้ทรงแสดงไว้ว่า จิตตชรูปที่เกิดกับชวนะขณะที่ ๑ ยังไม่มีกำลังพอที่จะให้ไหวไปได้ จนกระทั่งขณะที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ ที่ ๖ ผ่านไปแลัวพอถึงชวนะขณะที่ ๗ รูปซึ่งเกิดเพราะจิตในชวนะ ๗ ขณะนั้นจึงสามารถที่จะทำให้เกิดการไหวไปได้

    นี่เป็นปัจจัยที่ทำให้จิตตชรูปเกิดขึ้น แต่ไม่ใช่มีใครสั่ง ชวนจิตดวงที่ ๑ จะทำให้รูปไหวไม่ได้ เพราะเหตุว่ากำลังยังอ่อน ชวนจิตดวงที่ ๒ จะทำให้รูปไหวยังไม่ได้ มีจิตตชรูปเกิดด้วยจริงแต่ยังไหวไม่ได้ ชวนจิตดวงที่ ๓ ก็ยังทำให้รูปไหวไปไม่ได้ จนกระทั่งถึงชวนจิตดวงที่ ๗ จึงสามารถทำให้จิตตชวาโยธาตุแผ่ไป ไหวไปตามสภาพของจิตที่เป็นกุศลจิตหรือว่าเป็นอกุศลจิต

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นรูปที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยตามขณะของจิตโดยละเอียด ซึ่งไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดจะไปสั่งรูปได้ เพราะเหตุว่ารูปไม่ใช่สภาพรู้ เมื่อไม่ใช่สภาพรู้ก็รับคำสั่ง ไม่ได้ และเจตสิกที่เกิดกับจิตก็ไม่ใช่เพราะจิตสั่ง ถ้าเป็นวิบากจิต วิบากเจตสิกก็เกิดขึ้นเพราะกรรมในอดีตทำให้ทั้งวิบากจิตและวิบากเจตสิกนั้นเกิดร่วมกัน

    สำหรับผู้ที่กำลังเจริญฌาน เจริญสมถภาวนา จนกระทั่งเกิดฌานจิตเป็น รูปาวจรกุศลสำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ เป็นรูปาวจรกิริยาสำหรับผู้ที่เป็นพระอรหันต์ เป็นอรูปาวจรกุศลเป็นฌานขั้นอรูปฌานสำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ และเป็นอรูปาวจรกิริยาสำหรับผู้ที่เป็นพระอรหันต์ หรือแม้ในขณะที่มรรคจิตเกิดขึ้น ผลจิตเกิดขึ้น ในขณะนั้นก็ไม่ทำให้เกิดวิญญัติ ไม่สามารถที่จะมีกายวิญญัติ หรือวจีวิญญัติได้ แต่ว่ามีจิตตชรูปที่อุปถัมภ์อิริยาบถที่เป็นอยู่ ให้ดำรงอยู่ได้

    นี่เป็นความละเอียด เพราะเหตุว่ากำลังนอนหลับไม่สามารถที่จะอุปถัมภ์อิริยาบถ แต่เวลาที่เป็นฌานจิต ไม่ใช่จิตที่เป็นภวังค์ กำลังผิดกัน มีจิตตชรูปในขณะนั้นซึ่งอุปถัมภ์อิริยาบถ แต่เพราะว่าเป็นจิตที่ไม่รับรู้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เพราะฉะนั้น จึงไม่เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญัติรูป เพียงแต่สามารถที่จะอุปถัมภ์อิริยาบถให้ดำรงอยู่ได้ ไม่เหมือนกับเวลาที่เป็นภวังคจิต สำหรับการยิ้มก็เป็นรูปเกิดขึ้นเพราะโสมนัสจิต คือ จิตที่ประกอบด้วยโสมนัสเวทนา

    สำหรับการที่จะให้รูปเกิดขึ้นไหวไปนั้น พระอรรถกถาจารย์ก็ได้แสดงไว้ว่า เมื่อถึงมโนทวารวิถี เพราะเหตุว่าทางปัญจทวารวิถีนั้น ถึงแม้ว่าจะมีความพอใจ ความพอใจนั้นก็ไม่ถึงกับทำให้รูปเป็นการยิ้มแย้มได้ แม้แต่การยิ้มก็เกิดเพราะจิตโสมนัส บังคับไม่ได้ สั่งไม่ได้ แต่ถ้าเป็นโทสมูลจิตประกอบด้วยโทมนัสเวทนา ทำให้เกิดการร้องไห้ ไม่ใช่ทำให้เกิดการยิ้มแย้ม ซึ่งเป็นไปตามปัจจัย ตามสภาพของจิตนั้นๆ ซึ่งไม่ใช่สั่ง คือ เมื่อจิตชนิดนั้นๆ เกิดขึ้น ก็เป็นปัจจัยทำให้รูปชนิดนั้นๆ เกิดขึ้น

    ชีวิตของท่านในวันหนึ่งๆ มีภวังคจิตเกิดมาก และมีวิถีจิตเกิดสืบต่อกันทำให้มีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้โผฏฐัพพะ การคิดนึกทางใจ ซึ่งขณะใดที่จิตตชรูปสามารถที่จะทำให้เกิดการเคลื่อนไหวเป็นอิริยาบถ หรือขณะใดไม่สามารถที่จะทำให้เกิดการเคลื่อนไหวอิริยาบถได้ ก็ต้องเป็นไปตามปัจจัย ตามสภาพของจิตทั้งสิ้น

    ที่ว่า ถ้าจิตสั่งได้ จะต้องมีฝ่ายรับคำสั่งนั้น รูปรับคำสั่งได้หรือไม่ เพราะอะไรรูปรับคำสั่งไม่ได้ เพราะรูปไม่ใช่สภาพรู้

    จิตรับคำสั่งได้หรือไม่ เพราะอะไร จิตรับคำสั่งไม่ได้ เพราะว่าจิตแต่ละดวงเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยทั้งหมด เช่น ปฏิสนธิจิตเกิดเพราะกรรมในอดีตเป็นปัจจัย เมื่อปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว จิตดวงต่อไปจะเป็นเห็น เป็นได้ยินไม่ได้ ยังไม่มีปัจจัยที่จะให้เห็นทันที ได้ยินทันที เมื่อปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว เป็นปัจจัยให้ภวังคจิตเกิดขึ้น ไม่ได้สั่ง แต่ว่ามีปัจจัยของจิตแต่ละดวงที่จะทำให้จิตดวงต่อไปเกิดขึ้นทำกิจการงานสืบต่อ เป็นเรื่องของสภาพธรรมที่เป็นอนัตตา

    เจตสิกรับคำสั่งได้หรือไม่ เพราะอะไร เจตสิกเกิดกับจิตทุกดวง และดับไปพร้อมกันด้วยกับจิตทุกดวง คือ เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน ไม่ได้รับคำสั่งอะไรจากจิต

    เมื่อรูป จิต เจตสิกรับคำสั่งไม่ได้ การที่เราเดิน ยืน นั่ง นอน เคลื่อนไหวอิริยาบถต่างๆ ตลอดจนพูดจาได้นั้น เป็นเพราะอะไรเป็นเหตุปัจจัย

    ก็แล้วแต่ประเภทของจิต ถ้าเป็นโทสมูลจิตก็ทำให้เกิดรูปร้องไห้ได้ ถ้าเป็น โสมนัสก็ทำให้เกิดรูปยิ้มแย้มหัวเราะได้ ถ้าเป็นอกุศลจิตก็ทำให้เกิดรูปเคลื่อนไหวกระ ทำกรรมต่างๆ ที่เป็นอกุศลกรรมได้ ถ้าเป็นกุศลจิตก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยทำให้รูปเคลื่อนไหวทำกรรมที่เป็นกุศลกรรมได้ แต่ไม่มีจิตที่สั่ง

    ถ. เรื่องจิตสั่งท่านอาจารย์สรุปว่า จิตนั้นไม่มีอำนาจสั่งอะไรได้ ผมได้ไปฟังการบรรยายธรรมหรือสนทนาธรรมในที่หลายแห่ง ท่านผู้บรรยายธรรมมักจะใช้คำพูดว่าจิตสั่ง เป็นต้นว่า ที่เราเดิน หรือเราเหยียดแขน งอแขนขึ้นมานี้ก็เป็นไปด้วยอำนาจของจิตสั่ง ทำให้สงสัยว่าจิตมีอำนาจสั่งได้จริงหรือ ผมก็คิดดูว่า ถ้าจิตสั่งได้ ผมแก่แล้ว ลองสั่งให้หนังหายเหี่ยว ก็ไม่หายเหี่ยว ก็ยังเหี่ยวอยู่นั่นเอง ผมหงอกสั่งให้ดำ ก็ไม่ดำ แสดงว่าจิตสั่งรูปไม่ได้ โดยสภาวธรรมจิตมีหน้าที่รู้อารมณ์เท่านั้น

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 234

    สุ . รูปที่กายเหมือนกับรูปภายนอกทุกประการ คือ รูปภายนอกไม่ใช่สภาพรู้ ฉันใด รูปที่กายทั้งหมดตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้าก็ไม่ใช่สภาพรู้ เป็นรูปธรรมเหมือนกัน แต่ว่าปรากฏความต่างกันเพราะเกิดจากสมุฏฐานต่างกัน

    ที่กายมีรูปที่เกิดจากกรรม เช่น จักขุปสาท โสตปสาท ฆานปสาท ชิวหาปสาท กายปสาท ซึ่งรูปภายนอกนั้นไม่มี เพราะว่าไม่ได้เกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นสมุฏฐาน รูปที่กายเกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นสมุฏฐานก็มี เกิดขึ้นเพราะจิตเป็นสมุฏฐานก็มี เกิดขึ้นเพราะอุตุเป็นสมุฏฐานก็มี เกิดขึ้นเพราะอาหารเป็นสมุฏฐานก็มี เพราะฉะนั้น ทำให้รูปที่กายนี้เป็นรูปที่มีชีวิต มีความอ่อน มีความเบา มีความควรแก่งานผิดกับรูปภายนอกซึ่งเกิดเพราะอุตุ ไม่ใช่เกิดเพราะกรรม ไม่ใช่เกิดเพราะจิต ไม่ใช่เกิดเพราะอาหาร และเพราะมีจิตเป็นสมุฏฐานจึงทำให้รูปที่กายนี้เคลื่อนไหวเป็นอิริยาบถ เป็นกายวิญญัติ เป็นวจีวิญญัติได้ แต่รูปภายนอกนั้นไม่มีจิตที่จะทำให้มีความเบา ความอ่อน ความควรแก่การงานที่จะให้เคลื่อนไหวไปได้ ถ้าใจอยากจะยกรูปนั้น ก็ยกรูปนั้นขึ้นได้ด้วยความต้องการ เช่นเดียวกับที่ต้องการจะให้รูปนี้ไหวไปก็ได้ด้วยอำนาจของความต้องการ

    บางทีท่านผู้ฟังอาจจะลืมคิดถึงเรื่องของอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำให้ดูเหมือนกับว่าจิตจะสั่งได้ เมื่อปรารถนาอย่างไรก็ให้สภาพนั้นเกิดขึ้นตามความปรารถนา แต่ว่าท่านที่ไม่ได้เจริญอภิญญาหรืออิทธิปาฏิหาริย์ ไม่ได้บำเพ็ญฌานสมาบัติที่จะให้จิตมีพลังมีกำลังที่ว่า เมื่อมีความปรารถนาอย่างใด รูปนั้นก็เกิดขึ้นตามความปรารถนานั้น ด้วยกำลังของจิตที่มั่นคงในสมาธิ

    เพราะฉะนั้น ท่านที่ไม่มีอิทธิปาฏิหาริย์ ไม่มีอภิญญา จึงไม่สามารถที่จะให้รูปต่างๆ เป็นไป หรือเกิดขึ้นตามความต้องการของจิตได้ แต่แม้กระนั้นก็ไม่ใช่จิตสั่ง ผู้ที่ต้องการอิทธิปาฏิหาริย์จะต้องรู้วิธีว่า จะทำอย่างไรให้สมาธิมั่นคง มีความชำนาญแคล่วคล่องอย่างไร จึงสามารถที่จะเป็นปัจจัยทำให้เมื่อความปรารถนาอย่างใดเกิดขึ้น รูปนั้นก็เกิดได้ เหาะก็ได้ เดินบนน้ำก็ได้ เพราะมีสมาธิที่เป็นอภิญญา ที่ฝึกหัดช่ำชองแล้วเป็นปัจจัยให้เกิดได้ แต่ไม่ใช่เพราะสั่ง ถ้านั่งสั่งอย่างนี้ อย่างไรๆ ก็เหาะไม่ได้

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 235


    หมายเลข 14249
    28 พ.ย. 2568