ใช้สติไม่ได้เลย
มีจดหมายของพระคุณเจ้ารูปหนึ่ง มาจากวัดบ้านโคกสำโรง หมู่ ๘ จังหวัดสุรินทร์ เขียนมาเมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๓๔ เป็นคำถามเรื่องของการปฏิบัติ
ข้อ ๑. ในคืนวันหนึ่ง อาตมาได้เกิดเป็นไข้อย่างหนัก แต่อาตมาไม่หวั่นต่อเวทนาอันเกิดจากความเจ็บไข้นั้นแม้แต่นิดเลย เพราะอาตมาเจริญสติในขณะที่เป็นไข้ คือ ใช้สติพิจารณาเวทนาที่กำลังปรากฏอย่างชัดเจนในขณะนั้น คือ พิจารณาไปตามสภาพธรรมที่กำลังเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ตามลักษณะของเวทนานั้นๆ ที่ปรากฏ คือ ปฏิบัติตามที่อาจารย์สุจินต์ได้บรรยาย ท่านบอกว่า สภาพธรรมใดที่เกิดขึ้นในขณะใด ก็ให้ใช้สติพิจารณาตามสภาพธรรมนั้นๆ ที่กำลังปรากฏ คือ จับเอาปัจจุบันธรรมเป็นเหตุ คือ อาตมาแยกความเจ็บปวดออกจากจิตใจ คือ ไม่ให้จิตใจเจ็บตามปวดตาม เป็นไข้ตาม ถึงจะเจ็บ จะปวด จะเป็นไข้ ก็เป็นแต่เวทนาหรือสภาพธรรมที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป หมดไป เป็นแต่ธาตุรู้ สังขารคือเจตสิกธรรมไม่เกิดขึ้นเลยในขณะนั้นไม่เกิดขึ้นเลย
สุ. ขอพักไว้ตอนนี้ก่อน ขอให้พิจารณาที่ท่านใช้คำว่า อาตมาเจริญสติในขณะที่เป็นไข้ คือ ใช้สติพิจารณาเวทนาที่กำลังปรากฏอย่างชัดเจนในขณะนั้น
ความคลาดเคลื่อนอยู่ตรงที่พระคุณเจ้าเข้าใจว่า ใช้สติ แต่เมื่อสภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตนที่จะใช้สติ แต่ต้องเป็นการอบรมเจริญสติปัฏฐาน โดยขณะใดที่สติเกิด จึงจะระลึกรู้ลักษณะของเวทนาที่กำลังปรากฏในขณะนั้น คือ มีปัญญาที่จะรู้ว่า ขณะใดสติเกิด ขณะใดหลงลืมสติ โดยไม่ควรมีความคิดว่า มีเราที่จะใช้สติ เพราะว่าใช้สติไม่ได้เลย สภาพธรรมแต่ละขณะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยและดับไป ขณะที่หลงลืมสติ ก็เป็นขณะที่หลงลืมสติแล้วตามเหตุตามปัจจัย และขณะที่สติเกิด ขณะนั้นก็เพราะ เหตุปัจจัย ไม่ใช่เพราะคนหนึ่งคนใดใช้สติ การอบรมเจริญปัญญาต้องเข้าใจถูกตั้งแต่ต้น คือ ไม่มีการใช้สติ แต่รู้ว่า ขณะนั้นสติเกิด เพราะลักษณะของสติปรากฏให้รู้ด้วยว่าขณะนั้นเป็นสติ ที่ไม่ใช่ บุคคลหนึ่งบุคคลใด
และที่พระคุณเจ้ากล่าวว่า สังขารคือเจตสิกธรรมไม่เกิดขึ้นเลยในขณะนั้น
ขณะนั้นที่กำลังรู้ลักษณะของความเจ็บปวด ซึ่งเป็นสภาพของเจตสิกชนิดหนึ่ง คือ เวทนาเจตสิก เพราะฉะนั้น จะกล่าวว่าสังขารคือเจตสิกธรรมไม่เกิดขึ้นเลย ในขณะนั้นไม่ได้
เพราะฉะนั้น การฟังธรรม ต้องให้สอดคล้องกันทั้งปริยัติและปฏิบัติ คือ ปริยัติจะทำให้เข้าใจได้ถูกต้องว่า ขณะนั้นสภาพธรรมที่กำลังปรากฏที่สติกำลังระลึกรู้นั้น เป็นอะไร เช่น สภาพของความรู้สึก ไม่ใช่จิต ความรู้สึกไม่ใช่จิตเห็น ความรู้สึก ไม่ใช่จิตได้ยิน ความรู้สึกไม่ใช่จิตที่กำลังรู้สภาพที่แข็งหรืออ่อน หรือสภาพที่กำลังปวดเจ็บ
ขณะนั้นถ้าอาศัยการฟัง ก็จะรู้ได้ว่า จิตและเจตสิกต้องเกิดพร้อมกัน และขณะที่กำลังระลึกรู้ลักสภาพของเวทนา ความรู้สึก ความรู้สึกนั้นเป็นเจตสิก ไม่ใช่เจตสิกไม่เกิดขึ้นเลย และถึงแม้จะมีเจตสิกหลายประเภทเกิดร่วมกับจิตในขณะหนึ่งๆ แต่ก็แล้วแต่ว่าลักษณะของเจตสิกใดจะเป็นอารมณ์ที่สติระลึก ซึ่งต้องเข้าใจว่า ไม่ใช่ในจิตดวงเดียวกัน จิตขณะหนึ่งเป็นอกุศลเกิดขึ้นและดับไป จิตขณะต่อไปเป็นสติสัมปชัญญะที่ระลึกลักษณะของอกุศลจิต ซึ่งเกิดดับสลับกันจนกระทั่งลักษณะของสภาพธรรมปรากฏให้ศึกษาให้เริ่มรู้ ให้เข้าใจได้
ผู้ฟัง ผมขอเพิ่มเติม ไม่ได้สงสัย การที่พระคุณเจ้าได้ใช้สติพิจารณาเวทนา และเป็นเวลานานด้วย การพิจารณาติดต่อกันอย่างนี้ ผมคิดว่า เป็นการคิดนึก เรื่องเวทนามากกว่าที่จะเป็นสติระลึกรู้ในสภาพธรรมตามความเป็นจริง
สุ. เรื่องการอบรมเจริญสติปัฏฐานเป็นปัจจัตตัง เป็นความรู้เฉพาะตัวของแต่ละท่าน และทุกท่านก็ได้ฟังเรื่องของการเจริญสติปัฏฐานมาแต่ละท่านก็ไม่น้อย บางท่านก็เป็นปี เป็น ๑๐ ปี เป็น ๒๐ ปี ซึ่งท่านเองจะเป็นผู้ที่รู้ว่า สติของท่านเริ่มเกิดบ้างหรือยัง และความรู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้นเพิ่มขึ้นหรือยัง หรือยังรู้บ้าง ไม่รู้บ้างไปเรื่อยๆ ซึ่งก็เป็นของธรรมดา ผู้ที่ได้ฟังพระธรรมแล้ว และมีความเข้าใจถูกต้องในเรื่องลักษณะของสภาพธรรม กิจในขณะที่สติระลึกลักษณะสภาพธรรมก็คือ ปัญญาจะค่อยๆ เริ่มเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่สติระลึกตรงตามที่ได้ศึกษา
เพราะฉะนั้น แต่ละท่านแม้แต่พระคุณเจ้ารูปนี้ ท่านจะมีการค่อยๆ รู้ลักษณะของสภาพธรรมตรง หรือยังไม่ตรงทีเดียวกับลักษณะสภาพธรรม ก็แล้วแต่ การฟัง การพิจารณาของท่าน และการใส่ใจมนสิการในขณะที่สภาพธรรมนั้นเกิด จนกว่าจะรู้
